คุณเคยไหมกับอาการหมดไฟในการทำงาน หากความเครียดอย่างต่อเนื่องทำให้คุณรู้สึกหมดหนทาง ท้อแท้ และหมดแรง แสดงว่าคุณกำลังเดินอยู่บนเส้นทางแห่งความเหนื่อยหน่าย และพร้อมที่จะเกิดอาการ Burnout Syndrome
Burnout Syndrome คือ การหมดไฟในการทำงาน แม้มันจะไม่เหมือนกับภาวะซึมเศร้า แต่มันก็ส่งผลกับชีวิตของคุณไม่ต่างกัน แท้จริงแล้ว Burnout Syndrome คืออะไร อาจเรียกอีกอย่างได้ว่าอาการ Burnout Syndrome ก็คือ สภาวะเหนื่อยล้าอย่างหนึ่ง
ซึ่งก่อนที่เราจะพาคุณไปทำความรู้จักอาการ Burnout Syndrome ให้มากขึ้น เราอยากให้คุณเช็คก่อนว่าคุณกำลังเสี่ยงที่จะเป็น Burnout Syndrome หรือ ภาวะหมดไฟในการทำงาน หรือไม่หากคุณมีอาการดังต่อไปนี้ และรู้สึกเหมือนทุกวันเป็นวันที่แย่
- รู้สึกเหนื่อยไม่ว่าจะเป็นการทำงานที่ทำงานหรือที่บ้าน
- คุณมีท่าทางเหนื่อยตลอดเวลา
- คุณรู้สึกว่าในแต่ละวันงานที่ทำนั้นเป็นสิ่งที่น่าเบื่อหน่าย
- คุณรู้สึกว่าไม่มีอะไรที่ทำลงไปแล้วเกิดความแตกต่างหรือได้รับการชื่นชม
หากคุณกำลังรู้สึกว่าสิ่งที่ได้อ่านมานั้นมีบางข้อ หรือทุกข้อคือสิ่งที่คุณกำลังเป็นอยู่ ก็อย่าเพิ่งรีบกังวลใจไป เพราะในบทความนี้เราจะมาช่วยกันแก้ไข และปลุกไฟก่อนคุณจะหมดไฟในการทำงาน
Burnout Syndrome คืออะไร
Burnout Syndrome คือ สภาวะความเหนื่อยล้าทางอารมณ์ ร่างกาย และจิตใจซึ่งเกิดจากความเครียดที่มากเกิดไปและสะสมเป็นเวลานาน สภาวะนี้จะเกิดขึ้นเมื่อคุณรู้สึกเหนื่อย หมดอารมณ์ และไม่สามารถทำอะไรที่ตอบสนองความต้องการของตัวเองได้อย่างต่อเนื่อง
เมื่อคุณเริ่มสะสมความเครียด คุณจะเริ่มสูญเสียความสนใจและแรงจูงใจในด้านอื่น ๆ จนในท้ายที่สุดคุณก็จะหมดไฟในการทำงาน
ความเหนื่อยล้าที่เกิดขึ้นนั้นจะลดประสิทธิภาพในการทำงาน และดูดพลังงานในร่างกายของคุณไปโดยเปล่าประโยชน์ ทำให้คุณรู้สึกหมดหนทาง สิ้นหวัง เหมือนโดนดูถูก และขุ่นเคืองมากขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดคุณจะรู้สึกว่าคุณไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว
ผลกระทบด้านลบนี้จะแผ่ซ่านไปทั่วทุกด้านของชีวิตคุณไม่ใช่แค่การหมดไฟในการทำงาน ซึ่งจะรวมถึงที่บ้าน และการใช้ชีวิตในสังคมของคุณด้วย
นอกจากนี้ความเหนื่อยยังทำให้ร่างกายของคุณเกิดการเปลี่ยนแปลงในระยะยาว ซึ่งจะทำให้คุณเสี่ยงต่อการเจ็บป่วย เช่น หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ ดังนั้น Burnout Syndrome คือ สิ่งสำคัญที่เราต้องดูแลและจัดการ
สาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะ Burnout Syndrome คืออะไร
เราได้แบ่งสาเหตุหลัก ๆ ของการเกิด Burnout Syndrome ออกเป็น 4 ปัจจัย ได้แก่
1. ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับงาน
การที่คุณมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบในการทำงานมากเกินไปอาจทำให้ส่งผลลบต่าง ๆ และเมื่อไม่เป็นอย่างที่คุณคาดหวังในที่ทำงานมันจะทำให้คุณเกิดอาการวิตกกังวลจนหมดไฟในการทำงานได้
2. ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม
สภาพแวดล้อมในการทำงานนั้นสำคัญมาก ยิ่งหากคุณถูกบังคับให้ทำในสิ่งที่คุณไม่ชอบ หรือไม่ได้รับการฝึกฝนมานั้นอาจทำให้คุณรู้สึกเบื่อหน่ายจนหมดไฟในการทำงาน นอกจากนี้เพื่อนร่วมงานและเงินเดือนก็เป็นส่วนสำคัญของการหมดไฟในการทำงานเช่นเดียวกัน
3. ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับไลฟ์สไตล์
แน่นอนว่าเมื่อคุณทำงานหนักเกินไปคุณจะไม่มีเวลาพักผ่อน หรือแม้แต่การเป็นหัวหน้าครอบครัวก็ยิ่งทำให้คุณมีสิ่งที่ต้องรับผิดชอบเพิ่มมากขึ้น นั่นอาจทำให้คุณเกิดสภาวะหมดไฟในการทำงานได้
4. ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับลักษณะส่วนบุคคล
ถ้าโดยพื้นเพแล้วคุณเป็นคนที่เครียดง่าย และเป็นคนที่ต้องการความสมบูรณ์แบบ หรือเป็นคนที่คาดหวังกับงานมากเกินไป ก็อาจทำให้คุณเกิดสภาวะหมดไฟในการทำงานนี้ได้เช่นกัน
วิธีการปลุกไฟให้กับตัวเองเพื่อพร้อมเผชิญกับสถานการณ์ต่างๆ
เรารู้ดีว่าภาวะ Burnout Syndrome คือ ตัวการทำให้เกิดอาการทางร่างกาย เช่น นอนไม่หลับ วิตกกังวล รู้สึกหมดไฟในการทำงาน อาจมีอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้ และปวดเมื่อยตามร่างกายได้เช่นกัน ก่อนที่ประสิทธิภาพในการทำงานของเราจะลดมากไปกว่านี้ เรามาดูวิธีการปลุกไฟให้กับตัวเองกันดีกว่าค่ะ
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
- ลดการดื่มเหล้า และสูบบุหรี่
- หาวันหยุดเพื่อพักผ่อน
- รักษาสมดุลชีวิตด้วยการกำหนดระยะเวลาในการทำงานแต่ละวัน
- ขอความคิดเห็นและความช่วยเหลือจากผู้อื่นบ้าง
- ทำงานอดิเรกที่คุณชื่นชอบในวันหยุด
- ออกกำลังกายอย่างน้อยครั้งละ 30 นาที 5 ครั้งต่อสัปดาห์
- ลดการใช้สื่อ โซเชียลมีเดีย
ไม่มีอะไรสายเกินแก้นั่นเป็นสิ่งที่คุณรู้ดี แต่ปัญหาคือคุณจะเริ่มแก้มันเมื่อไรนั่นเอง เราอยากบอกคุณว่าหากคุณอยู่ในสภาวะ Burnout Syndrome คือ คุณได้ผ่านอะไรมาเยอะแยะมากมายแล้ว
ดังนั้นมันถึงเวลาแล้วที่คุณจะหันมาดูแลตัวเองก่อนจะหมดไฟในการทำงานไปมากกว่านี้ เพราะทุกครั้งที่คุณดูแลตัวเอง นั่นเท่ากับคุณได้ดูแลสิ่งรอบข้างของคุณไปด้วย วัตสันเราเป็นกำลังใจให้เสมอค่ะ