โหลดแอปฯ
ดาวน์โหลด:
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอปวัตสัน
  • google-play.png
  • app-store.png
  • app-gallery.png
ค้นหาร้านค้า บทความน่าอ่าน
Watsons Services
0
ตะกร้า
Share

ปัญหาสิว เป็นอีกหนึ่งปัญหาสิวที่จัดการได้ค่อนข้างยาก โดนเฉพาะสิวที่ไม่มีหัว และเกิดการอักเสบจะทำให้รักษาหายช้ากว่าสิวทั่ว ๆ ไป อย่าง ‘สิวหัวช้าง’ หนึ่งในสิวอักเสบที่รับมือได้ยาก บทความนี้วัตสันเลยจะชวนเพื่อน ๆ ไปทำความเข้าใจกับสิวอักเสบ พร้อมหาวิธีรักษาและป้องกันสิวหัวข้างกันด้วย ใครไม่อยากเป็นสิวหัวข้าง ลองตามไปดูในบทความได้เลย

สิวหัวช้าง คืออะไร

สิวหัวช้าง (Acne Conglobata) เป็นสิวอักเสบประเภทหนึ่งที่มีการอักเสบรุนแรง มักจะเกิดขึ้นเมื่อรูขุมขนอุดตันและเกิดการติดเชื้อแบคทีเรีย Propionibacterium acnes (P.acnes) เจริญเติบโตอยู่ในตุ่มสิว เพราะว่าแบคทีเรียเหล่านี้มีเอนไซม์สำหรับย่อยน้ำมัน (Sebum) ในตุ่มสิวให้กลายเป็นกรดไขมัน ซึ่งมีฤทธิ์กระตุ้นให้เกิดการอักเสบ ทำให้เกิดเป็นก้อนขนาดใหญ่ที่มีลักษณะบวมแดง เมื่อโดนกดจะรู้สึกเจ็บปวดมาก 

สามารถแบ่งได้หลายระดับอาการ ในขั้นแรกอาจจะเป็นสิวไม่มีหัว แต่จะมีอาการปวดและเจ็บผิวหน้าเล็กน้อยร่วมด้วย ส่วนระดับรุนแรงที่สุดคือ เกิดเป็นสิวหัวช้างที่มีขนาดใหญ่ มีลักษณะเป็นตุ่มและไตสีแดงที่เกิดจากการอักเสบของต่อมไขมันที่จับตัวรวมกันภายใต้ชั้นผิวหนัง บวมแดงนูนขึ้นมา

สาเหตุสิวหัวช้าง เกิดจากอะไร

1. ฮอร์โมน

การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน เช่น ในวัยรุ่น หรือช่วงก่อนมีประจำเดือน ฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงจะเกิดจากการทำงานที่ผิดปกติของระบบต่อมไร้ท่อ ส่งผลให้ระดับฮอร์โมนเพศชายเพิ่มสูงขึ้น แล้วไปกระตุ้นให้ต่อมไขมันที่ใบหน้าผลิตไขมันออกมามากกว่าปกติ จนไปอุดตันรูขุมขนและเกิดเป็นสิวที่รุนแรง หรือสิวหัวช้างขึ้นได้

2. การทำงานของ แบคทีเรีย C.acne

สาเหตุของการเกิดสิวหัวช้าง ส่วนหนึ่งมาจากการทำงานของแบคทีเรีย C.acne หรือ แบคทีเรีย Propionibacterium acnes (P.acnes) มีจำนวนการเจริญเติบโตมากขึ้นอยู่ในตุ่มสิว ส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันถูกกระตุ้นให้รูขุมขนเกิดการอักเสบ เพื่อกำจัดเชื้อแบคทีเรียที่เพิ่มขึ้น จนทำให้กลายเป็นสิวอักเสบ

3. ต่อมไขมันผลิตไขมันออกมามากเกินไป (Excessive sebum production)

เนื่องจากสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนในวัยรุ่น หรือในช่วงวัยเจริญพันธุ์ ต่อมไขมันผลิตไขมันออกมามากเกินไปอาจส่งผลให้เกิดสิวอักเสบหรือสิวหัวช้าง นอกจากนั้นยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจทำให้รูขุมขนมีไขมันมากเกินไป เช่น ร่างกายอาจผลิตน้ำมันมากเกินไป ซึ่งทำให้เกิดรูขุมขนอุดตัน และเกิดสิวอักเสบขึ้นได้

4. การอักเสบ และการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน (Inflammation and immune response)

เมื่อมีสิ่งผิดปกติ อย่างเชื้อโรค หรือแบคทีเรีย เข้าสู่ร่างกาย รวมไปถึงเข้าสู่ชั้นผิวหนังได้ผ่านผนังรูขุมขน อาจจะทำให้เกิดเป็นสิวอักเสบขึ้นได้ นอกจากนั้นเมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอ ไม่สามารถฟื้นฟูผิวได้อย่างเต็มที่ เช่น เมื่อมีความเครียด พักผ่อนไม่เพียงพอ ก็อาจจะส่งให้ผิวอ่อนแอ เป็นสิวอักเสบได้ด้วย

พฤติกรรมเสี่ยงอื่น ๆ ที่ทำให้เกิดสิวหัวช้าง

1. ใช้มือลูบหรือสัมผัสหน้าบ่อยๆ

มือเราสัมผัสสิ่งของและเจอกับสิ่งสกปรกมากมาย มือของเราเลยถือเป็นแหล่งรวมเชื้อโรคชั้นดีเลย ถ้าเกิดไม่ได้ล้างมือให้สะอาด แล้วเผลอใช้มือลูบหรือสัมผัสผิวหน้า ก็อาจจะเป็นการพาเชื้อโรคเข้าสู่ใบหน้าโดยไม่รู้ตัว ซึ่งเชื้อโรคเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวอักเสบขึ้นได้ด้วย

2. ออกกำลังกายขับเหงื่อ

ถึงแม้ว่าการออกกำลังกายจะเป็นกิจกรรมที่ดีต่อสุขภาพ แต่เวลาออกกำลังกายเรามักจะมีเหงื่อออก มีแบคทีเรียตกค้าง รวมไปถึงเกิดความมันบนใบหน้าได้ง่าย สิ่งเหล่านี้เป็นหนึ่งในในปัจจัยที่กระตุ้นให้ผิวเกิดการอุดตัน และทำให้เกิดสิวอักเสบได้ด้วย

3. ใช้เครื่องสำอางที่ไม่เหมาะสำหรับผิวเป็นสิว

การใช้เครื่องสำอางที่ไม่เหมาะสำหรับผิว อาจมีส่วนทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองและเกิดการอักเสบ มีส่วนทำให้เกิดสิวอักเสบขึ้นได้ด้วย นอกจากนั้นเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของน้ำมัน และการล้างหรือเช็ดเครื่องสำอางออกไม่หมด มีส่วนทำให้เกิดการอุดตัน และทำให้เกิดสิวอักเสบ ไปจนถึงสิวหัวช้างได้

4. นอนดึก

การนอนดึกทำให้ร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ เมื่อร่างกายพักผ่อนไม่เพียงก็อาจจะมีส่วนทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง ไม่สามารถฟื้นฟูผิวได้อย่างเต็มที่ พอมีสิ่งผิดปกติ อย่างเชื้อโรค หรือแบคทีเรีย เข้าสู่ร่างกาย รวมไปถึงเข้าสู่ชั้นผิวหนังได้ผ่านผนังรูขุมขน อาจจะทำให้เกิดเป็นสิวอักเสบขึ้นได้

5. ความเครียด

ความเครียดก็เป็นอีกหนึ่งพฤติกรรมทำร้ายผิวพอ ๆ กับการนอนดึก เมื่อเกิดความเครียดจะส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันทั้งร่างกายและผิวให้อ่อนแอลง ทำให้ถูกกระตุ้นจากมลภาวะได้ง่าย นอกจากนี้ความเครียดยังส่งผลให้ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงอย่างไม่เสถียร ส่งผลให้กระตุ้นต่อการเกิดสิวไม่มีหัวได้ง่ายด้วย

สิวหัวช้างมักจะเกิดบริเวณที่มีต่อมไขมันมากอย่าง ใบหน้า

บริเวณที่มักเกิดสิวหัวช้าง

สิวหัวช้างเป็นสิวอักเสบ ซึ่งสิวอักเสบสาเหตุหนึ่งมักจะเกิดจากการอุดตันของรูขุมขนด้วย สิวหัวช้างเลยมักจะเกิดบริเวณที่มีต่อมไขมันมากอย่าง ใบหน้า โดยเฉพาะบริเวณแก้ม หน้าผาก คาง และบริเวณคอ บางครั้งอาจพบสิวหัวช้างบนหลังและไหล่ เนื่องจากบริเวณนี้มีต่อมไขมันที่ทำงานหนัก และอาจจะเกิดขึ้นบริเวณอื่น ๆ เช่น หน้าอก หรือแขนได้ด้วยเหมือนกัน แต่อาจจะพบไม่ได้มากเท่ากับบริเวณอื่น ๆ

วิธีสังเกตความแตกต่างระหว่างสิวหัวช้าง กับสิวประเภทอื่น

1. ขนาดและความเจ็บปวด

เราจะสามารถสังเกตสิวหัวช้าง จากสิวอักเสบ หรือสิวไม่มีหัวประเภทอื่น หลัก ๆ เลยสามารถสังเกตได้จากขนาดและความเจ็บปวด สำหรับสิวหัวช้างจะมีขนาดใหญ่กว่าสิวทั่วไป และเวลาโดนกดจะรู้สึกเจ็บปวดมาก เมื่อเทียบกับสิวประเภทอื่น ๆ

2. ไม่มีหัวสิว

สิวอักเสบ หรือสิวประเภทอื่น ๆ อาจจะมีหัว เช่น หัวสีขาว หรือสิวหัวดำที่สามารถกดออกได้ แต่สามารถสังเกตสิวหัวช้างได้จากหัวสิวด้วย เพราะสิวหัวช้างจะเป็นสิวอักเสบที่ไม่มีหัวสิว และเมื่อโดนกดจะรู้สึกเจ็บปวดมาก เมื่อเทียบกับสิวประเภทอื่น ๆ ด้วย

3. การอักเสบลึก

เราสามารถสังเกตสิวหัวช้าง เทียบกับสิวอื่น ๆ ได้จากขนาดที่ใหญ่กว่าสิวทั่วไป มีความเจ็บปวดมากกว่าสิวประเภทพอื่น ๆ และสังเกตได้จากหัวสิว สิวหัวช้างจะไม่มีหัวสิว นอกจากนั้นยังสามารถสังเกตได้จากการอักเสบ เนื่องจากสิวหัวช้างจะเกิดการอักเสบลึกใต้ผิวหนัง ทำให้ยากที่จะรักษาด้วยวิธีทั่วไป เช่น การบีบ หรือการกดออก

สิวหัวช้างไม่มีหัว

วิธีรักษาสิวหัวช้าง

1. การรักษาสิวหัวช้างด้วยยาทา

ยาทาที่ช่วยรักษาสิวหัวช้าง ส่วนใหญ่จะใช้ครีมหรือยาทาสิวที่มีส่วนผสมของเบนโซอิลเปอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) ซาลิไซลิกแอซิด (Salicylic Acid) หรือเรตินอล (Retinoid) ที่สามารถช่วยลดการอุดตันของรูขุมขน แต่การใช้ยาเหล่านี้มีข้อจำกัดอยู่ด้วย จึงควรระวังสำหรับคนที่มีผิวแพ้ง่าย อาจจะทำให้ผิวหน้าแห้ง ระคายเคือง ควรปรึกษาเภสัชกรก่อนใช้ยา

2. การใช้ยาทาน แก้สิวหัวช้าง

นอกจากยาทาภายนอก ยังมีวิธีรักษาสิวหัวช้างด้วยการทานยาอยู่ด้วย ซึ่งยาทานจะใช้ในกรณีที่เป็นสิวอักเสบปานกลางถึงรุนแรง หรือเมื่อการรักษาเฉพาะที่ไม่ได้ผล อาจจะได้รับยาปฏิชีวนะเช่น tetracycline, doxycycline และ erythromycin ช่วยควบคุมการเจริญเติบโตของแบคทีเรียและลดการอักเสบ ไปรับประทานเป็นระยะเวลาสั้น ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการดื้อยา และต้องสั่งจ่ายหรือรับประทานตามคำสั่งแพทย์เท่านั้น

3. การรักษาสิวหัวช้างกับแพทย์ผิวหนัง

การรักษาสิวหัวช้างกับแพทย์ผิวหนัง สามารถทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัดสิวหัวช้างหรือ Acne Surgery การฉีดยา คอร์ดิโคสเตียรอยด์ (corticosteroids) เข้าที่สิว หรือการใช้เทคโนโลยีเลเซอร์และแสงในการรักษาสิว หรือ Laser acne treatment เป็นต้น

วิธีรักษาสิวหัวช้าง ง่าย ๆ ทำเองได้ที่บ้าน

1. น้ำมันทีทรี (Tea tree oil)

น้ำมันทีทรี (Tea tree oil) สารสกัดที่มีสรรพคุณที่ดีต่อผิวมากมาย โดยเฉพาะกับผิวที่เป็นสิว เพราะน้ำมันทีทรี (Tea tree oil) มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย เชื้อโรคประเภทเชื้อรา และไวรัส นอกจากนี้น้ำมันทีทรี ยังมีคุณสมบัติช่วยลดการอักเสบของสิวอีกด้วย สามารถทาลงบนสิวหัวช้างเพื่อลดการอักเสบได้

2. น้ำผึ้งและอบเชย

น้ำผึ้งสามารถต้านอนุมูลอิสระ มีคุณสมบัติช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิวบนใบหน้าได้ ส่วนอบเชย ก็มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อโรค จึงสามารถรักษาสิวหัวช้างได้ ด้วยการผสมน้ำผึ้งกับผงอบเชย ทาลงบนสิวเพื่อช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย

3. ว่านหางจระเข้

อีกหนึ่งวิธีรักษาสิวหัวช้าง ง่าย ๆ ทำเองได้ที่บ้าน สามารถรักษาได้ด้วยว่านหางจระเข้ เพราว่านหางจระเข้เป็นหนึ่งในพืชสมุนไพรที่ให้มีสรรพคุณที่ดีต่อผิวมากมาย หนึ่งในนั้นคือมีฤทธิ์ช่วยยับยั้งการติดเชื้อ และมีกรดอ่อน ๆ ช่วยลดความมันบนใบหน้าได้ นอกจากนั้นว่านหางจระเข้ยังมีคุณสมบัติช่วยลดการอักเสบและทำให้ผิวชุ่มชื่นขึ้นด้วย

สิวหัวช้างไม่มีหัว

วิธีป้องกัน สิวหัวช้าง

1. รักษาความสะอาดของใบหน้า

ความมันและสิ่งสกปรกที่ตกค้างอาจทำให้รูขุมขนอุดตัน เกิดสิวอักเสบหรือสิวหัวช้างขึ้นมาได้ จึงไม่ควรปล่อยให้เกิดการหมักหมมของเหงื่อและความมัน ควรทำความสะอาดใบหน้าให้แห้งและสะอาดอยู่เสมอ ด้วยโฟมล้างหน้า หรือคลีนเซอร์ที่มีความอ่อนโยน ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน

2. ใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลสิวที่มีประสิทธิภาพ ไม่มีส่วนผสมที่ทำให้รูขุมขนอุดตัน

ควรใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลสิวที่มีประสิทธิภาพ ไม่มีส่วนผสมที่ทำให้รูขุมขนอุดตัน อย่างเช่น สกินแคร์ที่มีความอ่อนโยน สกินแคร์เนื้อบางเบา หรือสกินแคร์ที่ไม่มีส่วนผสมของสารที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองเป็นต้น เพื่อไม่ให้เกิดความมันและสิ่งสกปรกที่ตกค้างอยู่บนใบหน้า

3. ไม่แคะ แกะ หรือบีบสิว

สิวหัวช้างเป็นสิวอักเสบที่ไม่มีหัว และมีความเจ็บปวดที่รุนแรงกว่าสิวทั่วไปมาก สำหรับสิวหัวช้างที่กำลังบวมเป่งและนูนขึ้นจนสะดุดตาคือสิวในระยะอักเสบขั้นรุนแรง จึงไม่ควรบีบหรือแกะสิว เพราะจะเป็นการกระตุ้นให้สิวหัวช้างอักเสบรุนแรงมากขึ้น และอาจทำให้เกิดรอยสิวขึ้นมาได้

4. ปกปิดสิวเพื่อเพิ่มความมั่นใจ

บางคนอาจจะอยากแต่งหน้า เพื่อปกปิดสิวเพื่อเพิ่มความมั่นใจ แนะนำว่าควรเลือกใช้สกินแคร์หรือเครื่องสำอางที่มีคุณสมบัติช่วยลดการเกิดสิวร่วมด้วย หรือเลือกใช้สกินแคร์และเครื่องสำอางที่มีเนื้อสัมผัสเบาบาง สูตร Oil-free เพื่อไม่ให้รูขุมขนเกิดการอุดตัน

5. ควบคุมอาหาร

การทานของทอด ของมัน ของหวานจัด ๆ รวมไปถึงคาเฟอีน จากชา กาแฟ เครื่องดื่มบำรุงกำลัง น้ำอัดลม อาหารเหล่านี้จะเป็นตัวกระตุ้นทำให้ผิวมัน รวมถึงไปกระตุ้นให้เชื้อแบคทีเรียเติบโตทำให้เกิดสิวขึ้นได้ จึงควรเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาล หรืออาหารไขมันสูง

6. การฉีดยาสเตียรอยด์

สำหรับสิวหัวช้างที่มีขนาดใหญ่มาก ๆ ค่อนข้างยากในการรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ เช่น การทายา หรือการกินยา แพทย์อาจแนะนำให้ฉีดยาสเตียรอยด์ เพื่อลดการอักเสบภายในไม่กี่วัน ซึ่งวิธีนี้จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดรอยแผลเป็นไปได้มากอีกด้วย

7. การรักษาด้วยเลเซอร์

ส่วนในกรณีที่รักษาสิวหัวช้าง แล้วสิวอักเสบขนาดใหญ่อย่างสิวหัวช้าง ทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้ แพทย์ผิวหนังอาจแนะนำการทำเลเซอร์ เนื่องจากวิธีการรักษาด้วยเลเซอร์จะกระตุ้นการฟื้นฟูผิว รวมถึงการรักษาด้วยเลเซอร์จะมีส่วนช่วยลดรอยแผลเป็นที่เกิดจากสิวไปได้ด้วย

สิวหัวช้างไม่สามารถหายได้เองต้องใช้ยารักษาสิวอักเสบโดยเฉพาะ

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ สิวหัวช้าง

1. รักษาสิวหัวช้างกี่วันถึงจะหาย

สิวหัวช้างเป็นสิวอักเสบค่อนข้างรุนแรง และมีขนาดใหญ่กว่าสิวทั่วไป การรักษาสิวหัวช้างจึงอาจจะใช้เวลานานหน่อย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพผิวหน้าของแต่ละบุคคลด้วยว่า จะตอบสนองกับยารักษาที่ใช้มากน้อยแค่ไหน ในกรณีที่มีการอักเสบที่ผิวหนังมีขนาดค่อนข้างใหญ่และมีความลึกเข้าไปในชั้นผิวมาก อาจจะต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน

2. สิวหัวช้าง สามารถหายเองได้ไหม

การอักเสบของสิวหัวช้างจะไม่สามารถหายไปได้เอง เพราะจะต้องใช้ยารักษาสิวอักเสบโดยเฉพาะเพื่อกำจัดเชื้อออกไป ถ้าปล่อยให้หายเองอาจเกิดการติดเชื้อและลุกลามขึ้นเป็นหลาย ๆ ตุ่ม และอาจเกิดการอักเสบไปทั่วทั้งใบหน้าได้ แนะนำให้ไปพบแพทย์ผิวหนังเพื่อรักษาตามอาการ

3. กดหรือบีบสิวหัวช้าง ได้ไหม

อย่างที่บอกไปว่าสิวเป็นสิวอักเสบค่อนข้างรุนแรง เมื่อกดโดนแล้วจะรู้สึกเจ็บปวดมากกว่าสิวทั่วไปด้วย การบีบหรือกดสิวหัวช้าง เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำเด็ดขาด เพราะจะทำให้สิวหัวช้างอักเสบและรุนแรงกว่าเดิมได้ แนะนำให้ไปพบแพทย์ผิวหนัง เพื่อรับคำปรึกษาและทราบแนวทางการรักษาที่ถูกต้อง

ทำความเข้าใจเกี่ยวกับ “สิวหัวช้าง” มาแล้ว พอจะรู้แล้วว่าสิวหัวช้างเป็นสิวอักเสบที่ค่อนข้างรุนแรง มีขนาดใหญ่และเจ็บปวดมากกว่าสิวประเภทอื่น ๆ ทั่วไป ถ้าเกิดว่าเป็นแล้วอาจจะต้องรักษาค่อนข้างยากและใช้เวลานาน จึงควรป้องกันไม่ให้ผิวเกิดการอุดตัน จนกลายเป็นสิวอักเสบและสิวหัวช้าง ซึ่งที่ Watsons ก็มีสกินแคร์สูตรอ่อนโยน ไม่ก่อให้เกิดการอุดตันให้เลือกอยู่มากมาย สามารถไปเลือกช้อปได้ที่ร้านค้าและออนไลน์กันได้เลย

ข้อมูลอ้างอิง
https://www.eucerin.co.th/skin-concerns/acne-prone-skin/about-acne
https://www.rattinan.com/cystic-acne/
https://www.bedee.com/articles/skin-aesthetic/nodular-acne

Previous

ปากแห้ง เกิดจากอะไร? แห้งแตกแบบไหนควรรีบไปหาหมอ

Next

15 ไอเดียอัพลุคคูล แต่งตัวไปคอนเสิร์ตแบบคนมีสไตล์

Related Topics
Share
WHAT’S HOT
  1. 10 ร้านเสื้อผ้าในไอจีราคาถูก หลักร้อย ไม่ตกเทรนด์
  2. 12 สกินแคร์จาก CICA ส่วนผสมช่วยลดสิว ผิวระคายเคือง
  3. 10 สถานที่ขอพรเรื่องความรัก ช่วยคนโสดไม่ให้นก
  4. 15 ครีมบำรุงผิวขาว และครีมทาผิวขาวยี่ห้อไหนดี 2025
  5. แต่งหน้าเป๊ะปังด้วยเมคอัพ ชิ้นที่สอง1บาท
  6. สีเล็บมงคล 2568 เปลี่ยนสีเล็บให้ปังตามวันเกิด พร้อมสวยเฮงต้อนรับปี!
  7. ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ใช้อย่างไรให้ได้ผลและปลอดภัย
  8. 15 ไอเดียอัพลุคคูล แต่งตัวไปคอนเสิร์ตแบบคนมีสไตล์
  9. เริมที่ปาก อาการเริ่มต้นเป็นแบบไหน? รักษาอย่างไรให้หายไวที่สุด!
  10. ปากแห้ง เกิดจากอะไร? แห้งแตกแบบไหนควรรีบไปหาหมอ
  11. สิวหัวช้าง สิวหัวช้างไม่มีหัวเกิดจากอะไร รักษาอย่างไร พร้อมตัวช่วยรักษาสิวหัวช้าง
*/?>