โหลดแอปฯ
ดาวน์โหลด:
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอปวัตสัน
  • google-play.png
  • app-store.png
  • app-gallery.png
ค้นหาร้านค้า บทความน่าอ่าน
Watsons Services
0
ตะกร้า
Share

Intermittent Fasting หรือ การลดน้ำหนักด้วยวิธีการอดอาหารเป็นช่วง ๆ ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ ไม่ว่าคุณกำลังวางโปรแกรมในการอดอาหารอยู่ หรือ กำลังกลับมาเริ่มโปรแกรมใหม่อีกครั้ง บทความนี้สามารถให้คำแนะนำแก่คุณได้ 

อ่านบทความ 5 วิธียอดฮิตของการลดน้ำหนักด้วยการอดอาหารเป็นช่วง ๆ

ลดน้ำหนักด้วยการอดอาหาร

#1 IF สูตร 16/8

การจำกัดเวลาการกินอาหารแบบ 16/8 คือมีช่วงเวลาการอดอาหาร (Fasting) เป็นเวลา 16 ชั่วโมง คุณสามารถดื่มได้แค่ น้ำ ชา กาแฟ และมีช่วงเวลาการกิน (Feeding) เป็นเวลา 8 ชั่วโมง ซึ่งจำนวนชั่วโมงแบบ 16/8 เป็นวิธีการที่ได้รับความนิยมมากที่สุด

#2 IF สูตร 5:2

คุณสามารถทานได้ตามปกติเป็นเวลา 5 วัน ส่วนอีก 2 วันที่เหลือในหนึ่งสัปดาห์ คุณจะต้องลดปริมาณการทานอาหารลง 1 ใน 4 จากที่เคยทานในแต่ละวัน ตัวอย่างเช่น คนที่กินอาหารประมาณ 2,000 แคลอรีต่อวันเป็นประจำ จะต้องลดการกินให้เหลือเพียง 500 แคลอรีในวันที่ต้องอดอาหาร โดยมีการกำหนดวันอดอาหาร 2 วัน ได้แก่ วันอังคารและวันศุกร์

การทำIF

#3 การอดสลับอิ่มแบบวันเว้นวัน

การอดสลับอิ่มแบบวันเว้นวัน คือ การอดอาหารแบบวันเว้นวัน ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีที่ค่อนข้างฮาร์ดคอร์ เนื่องจากต้องอดอาหารเป็นเวลา 1 วัน กินอาหาร 1 วัน แล้วกลับมาอดอีกหนึ่งวัน จึงไม่เหมาะแก่ผู้ที่เริ่มต้นลดน้ำหนักด้วยวิธี Intermittent Fasting

#4 The Warrior Diet

เป็นการ Intermittent Fasting แบบอด 20 ชั่วโมง และกิน 4 ชั่วโมง หรือกินมื้อใหญ่มื้อเดียว เน้นอาหารที่มีโปรตีนสูงและผักสด คล้ายการอดอาหารของนักรบโบราณที่มักจะกินอาหารในปริมาณที่น้อยมาก การลดน้ำหนักด้วยวิธีนี้ถือกำเนิดขึ้นในช่วงต้นปี 2000 มีอีกชื่อเรียกว่า การถือศีลอด 20:4

#5 Spontaneous Meal Skipping

เป็นการงดมื้อที่เราไม่หิว ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัวสำหรับการอดอาหารด้วยวิธีนี้ เพียงแค่มื้อที่เหลือต้องทานอาหารให้ครบสารอาหารตามที่ร่างกายต้องการ


ประโยชน์ของการลดน้ำหนักด้วยวิธีอดอาหารในบางช่วง

  • ลดน้ำหนักและลดไขมันอวัยวะภายใน

Intermittent Fasting ช่วยลดน้ำหนักและไขมันในช่องท้องอันเป็นสาเหตุของการเกิดโรค โดยระดับอินซูลินในเลือดจะลดต่ำลงเพื่อเพิ่มการเผาผลาญไขมันในร่างกาย

  • ลดความเสี่ยงของโรคเบาหวานชนิดที่สอง

จากการศึกษาพบว่า Intermittent Fasting มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงภาวะดื้อต่ออินซูลิน และลดค่าน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับปกติ

  • ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ

Intermittent fasting สามารถช่วยลดปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ได้ เช่น ลดความดันโลหิตสูง เพิ่มระดับคอเลสเตอรอลดี (HDL) ลดไขมันในเลือด และปรับระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับปกติ

  • ช่วยให้สมองทำงานดีขึ้น

การงานวิจัยพบว่าการทำ Intermittent Fasting ช่วยระงับการอักเสบในสมองและลดความเสี่ยงของความผิดปกติทางระบบประสาท รวมถึงโรคอัลไซเมอร์ โรคพาร์กินสัน และโรคหลอดเลือดสมอง


ผลข้างเคียงของการลดน้ำหนักด้วยวิธี Intermittent Fasting แบบผิด ๆ

  • หิวมากขึ้น หิวตลอดเวลา

คุณอาจรู้สึกอยากอาหารมากกว่าปกติ เมื่อมีการลดปริมาณอาหาร หรือ ไม่ได้ทานอาหารเป็นเวลานาน

  • รู้สึกอ่อนเพลีย

การทำ Intermittent Fasting อาจส่งผลให้มีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ส่งผลให้คุณรู้สึกเหนื่อยล้าและอ่อนแรง

  • นอนไม่หลับ

การทำ Intermittent Fasting ส่งผลให้ประสิทธิภาพการนอนของคุณลดลง อาจทำให้นอนไม่หลับ เนื่องจากต้องทนต่อความหิวโหย

  • ปวดศีรษะ

การทำ Intermittent Fasting ส่งผลให้น้ำตาลในเลือดต่ำ และเมื่อน้ำตาลในเลือดต่ำ ก็อาจทำให้คุณมีอาการปวดหัว วิงเวียนศีรษะ

  • คลื่นไส้อาเจียน

การทำ Intermittent Fasting อาจทำให้ระบบย่อยอาหารของคุณแปรปรวนและอาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้


คลิกอ่านคอนเท้นอื่นๆที่น่าสนใจ

Previous

Setting spray ยี่ห้อไหนดี 4 สเปรย์ล็อคเมคอัพปี 2024

Next

พาส่อง!ไอเทมน่าตุน ชิ้นที่สอง1บาท ครั้งสุดท้ายแห่งปี 2023 ที่วัตสัน

Related Topics
Share
WHAT’S HOT
  1. 10 ร้านเสื้อผ้าในไอจีราคาถูก หลักร้อย ไม่ตกเทรนด์
  2. 12 สกินแคร์จาก CICA ส่วนผสมช่วยลดสิว ผิวระคายเคือง
  3. 10 สถานที่ขอพรเรื่องความรัก ช่วยคนโสดไม่ให้นก
  4. 15 ครีมบำรุงผิวขาว และครีมทาผิวขาวยี่ห้อไหนดี 2024
  5. แต่งหน้าเป๊ะปังด้วยเมคอัพ ชิ้นที่สอง1บาท
  6. 20 ไอเดียทรงผมคนหน้ากลมอ้วนช่วยพรางหน้าให้เรียวเล็ก
  7. รีวิว needly toner pad โทนเนอร์แพดผิวใสทั้ง 4 สูตร
  8. เหตุผลที่คุณควรเลือกมาส์กชีทที่พัฒนาสูตรโดยแพทย์ผิวหนังเกาหลี
  9. 10 ลายเล็บเจลขับผิว ช่วยให้นิ้วขาว มือดูสวยผ่อง
  10. โพรไบโอติกส์ (Probiotics) และพรีไบโอติกส์ (Prebiotics) คืออะไร แตกต่างกันอย่างไร
  11. โทนเนอร์คืออะไร จำเป็นไหม และใช้ตอนไหนดี
*/?>