โหลดแอปฯ
ดาวน์โหลด:
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอปวัตสัน
  • google-play.png
  • app-store.png
  • app-gallery.png
ค้นหาร้านค้า บทความน่าอ่าน
Watsons Services
0
ตะกร้า
Share

วิธีง่าย ๆ และเป็นประโยชน์ในการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย

 

ภูมิคุ้มกันหมายถึงความสามารถในการต้านทานโรคหรือสภาพทางการแพทย์ โดยที่ระบบภูมิคุ้มกันเป็นสิ่งที่ปกป้องร่างกายของเราจากเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส ปรสิต ฯลฯ ระบบภูมิคุ้มกันเป็นเครือข่ายที่ซับซ้อนซึ่งประกอบด้วยอวัยวะ เซลล์และโมเลกุลต่าง ๆ การกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันจะหมายถึงการช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดี และกุญแจสำคัญสำหรับระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแกร่งมากขึ้นก็คือการเลือกวิถีชีวิตที่มีสุขภาพดี

 

 

7 วิธีเพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย

 

 

เพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย นอนหลับให้เพียงพอ

 

1.นอนหลับให้เพียงพอ

การนอนหลับให้เพียงพอจะช่วยเสริมภูมิคุ้มกันของร่างกาย มีงานวิจัยแสดงให้เห็นว่าการนอนหลับอย่างสนิทจะช่วยปรับปรุงเซลล์ภูมิคุ้มกันหรือที่เรียกว่า T-cell ที่ช่วยต่อสู้กับการติดเชื้อ ในวัยผู้ใหญ่ จะต้องการเวลาในการนอนหลับอย่างน้อย 7 ชั่วโมงต่อวัน โดยหากนอนหลับไม่เพียงพอเป็นเวลา 3 วันติดต่อกันจะเทียบเท่ากับการนอนหลับไม่เต็มคืน การอดนอนจะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอลงและตอบสนองต่อวัคซีนช้า ดังนั้น ขอแนะนำให้เข้านอนภายในเวลาที่คำนวณแล้วว่าสามารถนอนได้ครบ 7 ชั่วโมง

 

เพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ออกกำลังกาย

 

2.ออกกำลังกายเป็นประจำ

การออกกำลังกายเป็นประจำและในระดับปานกลางเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการรักษาสุขภาพที่ดีและระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานว่าการออกกำลังกายจะช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันได้แน่นอนอย่างไร แต่จากงานศึกษาต่าง ๆ พบว่า:

1. การออกกำลังกายเป็นประจำช่วยขับดันมูกในปอดเพื่อให้สามารถสั่งน้ำมูกออกมาได้ง่ายขึ้น การสะสมของมูกส่วนเกินสามารถทำให้ปอดเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้

2. การออกกำลังกายระดับปานกลางถึงระดับสูงจะช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันโดยทำให้การไหลเวียนของเลือดเพิ่มขึ้น ทำให้เซลล์ภูมิคุ้มกันสามารถเคลื่อนที่ไปทั่วร่างกายได้อย่างอิสระและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3. อุณหภูมิของร่างกายจะสูงขึ้นในช่วงระหว่างและหลังการออกกำลังกายชั่วครู่อาจป้องกันไม่ให้แบคทีเรียเจริญเติบโตและอาจช่วยให้ร่างกายต่อสู้กับการติดเชื้อได้ดีขึ้น กลไกนี้จะคล้ายกับสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงระหว่างที่มีไข้

4. เป็นที่เชื่อกันอย่างแพร่หลายว่าความเครียดจะกดทับภูมิคุ้มกันของร่างกาย การออกกำลังกายจะชะลอการปล่อยฮอร์โมนความเครียดและทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้อย่างเหมาะสม

อย่างไรก็ตาม การออกกำลังกายที่เข้มข้นมากเกินไปจะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงและทำให้ร่างกายเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เราขอแนะนำให้สะสมการออกกำลังกายในระดับความเข้มข้นปานกลางเป็นเวลา 150 ถึง 300 นาที หรือออกกำลังกายในระดับความเข้มข้นสูงเป็นเวลา 75 ถึง 150 นาที หรือ รวมกันทั้งสองแบบเท่า ๆ กับ สัปดาห์ละครั้ง

 

เพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย - ทานอาหารให้ครบตามสีรุ้ง

 

3.ทานอาหารให้ครบตาม “สีรุ้ง”

สำหรับการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันที่ดีที่สุด ร่างกายจะต้องการสารอาหารทุกประเภท รวมถึงวิตามิน แร่ธาตุ ไขมัน โปรตีน ฯลฯ วิตามินเอ บี6 ซี ดี อี เบต้าแคโรทีน และสังกะสี สามารถช่วยเพิ่มความแข็งแรงของระบบภูมิคุ้มกันได้ การทานให้ครบตามสีรุ้ง เช่น ผักและผลไม้ที่มีสีหลากหลายต่อวัน จะทำให้มั่นใจว่ามีการทานสารต้านอนุมูลอิสระ ไฟโตเคมิคอล และสารอาหารจากพืชดี ๆ ที่หลากหลาย กฎเกณฑ์ที่ดีที่จะต้องปฏิบัติก็คือการทานอาหารที่มี 2 หรือ 3 สีในแต่ละมื้อ

การทานวิตามินหรืออาหารเสริมก็สามารถช่วยเติมเต็มทางโภชนาการที่ขาดหายไปในอาหารได้ แต่ร่างกายจะดูดซับและใช้วิตามินและสารอาหารจากแหล่งอาหาร แนะนำให้ปรึกษาผู้ให้บริการดูแลสุขภาพของตนเองก่อนที่จะใช้ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมหรือวิตามินใด ๆ นะจ๊ะ

 

 

เพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ไม่สูบบุหรี่

 

4.ไม่สูบบุหรี่

เป็นที่ทราบกันดีอยู่ว่าการสูบบุหรี่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของเรา ทำให้เกิดความเสี่ยงสูงต่อโรคหัวใจ มะเร็งปอดและโรคหลอดเลือดสมอง แต่ยังมีผลที่ตามอื่น ๆ ต่อสุขภาพที่หลาย ๆ คนอาจไม่ได้ตระหนักถึง ซึ่งก็คือการทำให้ระบบภูมิคุ้มกันบกพร่องได้ งานศึกษาหลายงานที่ระบุว่าการสูบบุหรี่:

1. ทำให้สารภูมิต้านทานเสียหายซึ่งอาจทำให้ความสามารถของร่างกายในการต่อสู้กับการติดเชื้อลดลง รวมถึงระยะการเจ็บป่วยของผู้ที่สูบบุหรี่ที่นานกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่

2. สร้างอนุมูลอิสระมากขึ้นและมีการใช้สารต้านอนุมูลอิสระในร่างกายมากขึ้นในการต่อต้านผลกระทบของอนุมูลอิสระ อนุมูลอิสระจะเกี่ยวข้องกับโรคต่าง ๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคท่อเลือดแดงและหลอดเลือดแดงแข็ง โรคอัลไซเมอร์ โรคพาร์กินสัน ภูมิคุ้มกันตนเองและการอักเสบผิดปกติ โรคเบาหวาน ฯลฯ

 

เพิ่มภูมิคุ้มกัน ลดการดื่มแอลกฮอลล์

 

5.ควรดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่พอเหมาะเท่านั้น

มีการพบว่าการดื่มมากเกินไปอาจทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงและทำให้เสี่ยงต่อไวรัสได้ง่าย นอกจากนี้ ยังอาจทำให้การทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกันในปอดและระบบทางเดินหายใจส่วนบนแย่ลง

 

เพิ่มภูมิคุ้มกัน คิดบวก

 

6.คงไว้ซึ่งทัศนคติเชิงบวก

ระบบภูมิคุ้มกันมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับระดับความเครียด การเกิดความเครียดจะทำให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายลดลง ทำให้ร่างกายติดเชื้อได้ง่าย – เมื่อรู้สึกเครียด ระบบตอบสนองความเครียดของร่างกายจะรับรู้ว่าสาว ๆ กำลังเผชิญกับภัยคุกคามต่าง ๆ ระดับสารอะดรีนาลีนและคอร์ติซอล และอัตราการเต้นของหัวใจรวมทั้งความดันโลหิตจะสูงขึ้น กิจกรรมต่าง ๆ ของร่างกายควรกลับคืนสู่สภาวะปกติเมื่อภัยคุกคามผ่านไป แต่ถ้ายังรู้สึกเครียดอยู่ตลอดเวลา ปฏิกิริยาเหล่านี้จะดำเนินต่อไป ในกรณีเช่นนี้ ร่างกายจะสัมผัสกับคอร์ติซอลและฮอร์โมนความเครียดอื่น ๆ มากเกินไปอย่างต่อเนื่อง ระบบภูมิคุ้มกันจึงไม่สามารถตอบสนองได้ตามปกติ เพิ่มความเสี่ยงต่อสภาวะสุขภาพต่าง ๆ ดังนั้น ขอแนะนำให้พยายามอยู่ในอารมณ์เชิงบวกเสมอเพื่อป้องกันการเกิดความเครียด

 

เพิ่มภูมิคุ้มกัน รักษาความชุ่มชื้น

 

7.รักษาความชุ่มชื้น

การรักษาความชุ่มชื้นเป็นสิ่งสำคัญอย่ายิ่งสำหรับการทำงานที่เหมาะสมของร่างกาย โดยรวมถึงเซลล์ อวัยวะและเนื้อเยื่อต่าง ๆ หากร่างกายขาดน้ำ การทำงานของร่างกายจะได้รับผลกระทบ เนื่องด้วยการขาดความสมดุลระหว่างเกลือกับน้ำตาลในร่างกาย นอกจากนี้ น้ำยังช่วยกำจัดสารพิษต่าง ๆ ออกจากร่างกายตามธรรมชาติ ดังนั้น การดื่มน้ำสามารถป้องกันสารพิษไม่ให้ไปสะสมในร่างกายและมีผลกระทบเชิงลบต่อระบบภูมิคุ้มกัน

 

 

เช็คโปรล่าสุด สินค้าลดราคา พิเศษเฉพาะที่วัตสันออนไลน์

Check Latest Online Exclusive Promotions >

Previous

กฎเกณฑ์ด้านสุขอนามัยที่ต้องรู้

Next

ทริคดูแลผิวหน้าขาวใส ใครๆก็ตกหลุมรัก

Related Topics
Share
WHAT’S HOT
  1. 10 ร้านเสื้อผ้าในไอจีราคาถูก หลักร้อย ไม่ตกเทรนด์
  2. 12 สกินแคร์จาก CICA ส่วนผสมช่วยลดสิว ผิวระคายเคือง
  3. 10 สถานที่ขอพรเรื่องความรัก ช่วยคนโสดไม่ให้นก
  4. 15 ครีมบำรุงผิวขาว และครีมทาผิวขาวยี่ห้อไหนดี 2024
  5. แต่งหน้าเป๊ะปังด้วยเมคอัพ ชิ้นที่สอง1บาท
  6. 20 ไอเดียทรงผมคนหน้ากลมอ้วนช่วยพรางหน้าให้เรียวเล็ก
  7. รีวิว needly toner pad โทนเนอร์แพดผิวใสทั้ง 4 สูตร
  8. เหตุผลที่คุณควรเลือกมาส์กชีทที่พัฒนาสูตรโดยแพทย์ผิวหนังเกาหลี
  9. 10 ลายเล็บเจลขับผิว ช่วยให้นิ้วขาว มือดูสวยผ่อง
  10. โพรไบโอติกส์ (Probiotics) และพรีไบโอติกส์ (Prebiotics) คืออะไร แตกต่างกันอย่างไร
  11. โทนเนอร์คืออะไร จำเป็นไหม และใช้ตอนไหนดี
*/?>