วิธีง่าย ๆ และเป็นประโยชน์ในการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
ภูมิคุ้มกันหมายถึงความสามารถในการต้านทานโรคหรือสภาพทางการแพทย์ โดยที่ระบบภูมิคุ้มกันเป็นสิ่งที่ปกป้องร่างกายของเราจากเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส ปรสิต ฯลฯ ระบบภูมิคุ้มกันเป็นเครือข่ายที่ซับซ้อนซึ่งประกอบด้วยอวัยวะ เซลล์และโมเลกุลต่าง ๆ การกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันจะหมายถึงการช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดี และกุญแจสำคัญสำหรับระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแกร่งมากขึ้นก็คือการเลือกวิถีชีวิตที่มีสุขภาพดี
7 วิธีเพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย
1.นอนหลับให้เพียงพอ
การนอนหลับให้เพียงพอจะช่วยเสริมภูมิคุ้มกันของร่างกาย มีงานวิจัยแสดงให้เห็นว่าการนอนหลับอย่างสนิทจะช่วยปรับปรุงเซลล์ภูมิคุ้มกันหรือที่เรียกว่า T-cell ที่ช่วยต่อสู้กับการติดเชื้อ ในวัยผู้ใหญ่ จะต้องการเวลาในการนอนหลับอย่างน้อย 7 ชั่วโมงต่อวัน โดยหากนอนหลับไม่เพียงพอเป็นเวลา 3 วันติดต่อกันจะเทียบเท่ากับการนอนหลับไม่เต็มคืน การอดนอนจะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอลงและตอบสนองต่อวัคซีนช้า ดังนั้น ขอแนะนำให้เข้านอนภายในเวลาที่คำนวณแล้วว่าสามารถนอนได้ครบ 7 ชั่วโมง
2.ออกกำลังกายเป็นประจำ
การออกกำลังกายเป็นประจำและในระดับปานกลางเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการรักษาสุขภาพที่ดีและระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานว่าการออกกำลังกายจะช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันได้แน่นอนอย่างไร แต่จากงานศึกษาต่าง ๆ พบว่า:
1. การออกกำลังกายเป็นประจำช่วยขับดันมูกในปอดเพื่อให้สามารถสั่งน้ำมูกออกมาได้ง่ายขึ้น การสะสมของมูกส่วนเกินสามารถทำให้ปอดเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้
2. การออกกำลังกายระดับปานกลางถึงระดับสูงจะช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันโดยทำให้การไหลเวียนของเลือดเพิ่มขึ้น ทำให้เซลล์ภูมิคุ้มกันสามารถเคลื่อนที่ไปทั่วร่างกายได้อย่างอิสระและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. อุณหภูมิของร่างกายจะสูงขึ้นในช่วงระหว่างและหลังการออกกำลังกายชั่วครู่อาจป้องกันไม่ให้แบคทีเรียเจริญเติบโตและอาจช่วยให้ร่างกายต่อสู้กับการติดเชื้อได้ดีขึ้น กลไกนี้จะคล้ายกับสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงระหว่างที่มีไข้
4. เป็นที่เชื่อกันอย่างแพร่หลายว่าความเครียดจะกดทับภูมิคุ้มกันของร่างกาย การออกกำลังกายจะชะลอการปล่อยฮอร์โมนความเครียดและทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้อย่างเหมาะสม
อย่างไรก็ตาม การออกกำลังกายที่เข้มข้นมากเกินไปจะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงและทำให้ร่างกายเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เราขอแนะนำให้สะสมการออกกำลังกายในระดับความเข้มข้นปานกลางเป็นเวลา 150 ถึง 300 นาที หรือออกกำลังกายในระดับความเข้มข้นสูงเป็นเวลา 75 ถึง 150 นาที หรือ รวมกันทั้งสองแบบเท่า ๆ กับ สัปดาห์ละครั้ง
3.ทานอาหารให้ครบตาม “สีรุ้ง”
สำหรับการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันที่ดีที่สุด ร่างกายจะต้องการสารอาหารทุกประเภท รวมถึงวิตามิน แร่ธาตุ ไขมัน โปรตีน ฯลฯ วิตามินเอ บี6 ซี ดี อี เบต้าแคโรทีน และสังกะสี สามารถช่วยเพิ่มความแข็งแรงของระบบภูมิคุ้มกันได้ การทานให้ครบตามสีรุ้ง เช่น ผักและผลไม้ที่มีสีหลากหลายต่อวัน จะทำให้มั่นใจว่ามีการทานสารต้านอนุมูลอิสระ ไฟโตเคมิคอล และสารอาหารจากพืชดี ๆ ที่หลากหลาย กฎเกณฑ์ที่ดีที่จะต้องปฏิบัติก็คือการทานอาหารที่มี 2 หรือ 3 สีในแต่ละมื้อ
การทานวิตามินหรืออาหารเสริมก็สามารถช่วยเติมเต็มทางโภชนาการที่ขาดหายไปในอาหารได้ แต่ร่างกายจะดูดซับและใช้วิตามินและสารอาหารจากแหล่งอาหาร แนะนำให้ปรึกษาผู้ให้บริการดูแลสุขภาพของตนเองก่อนที่จะใช้ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมหรือวิตามินใด ๆ นะจ๊ะ
4.ไม่สูบบุหรี่
เป็นที่ทราบกันดีอยู่ว่าการสูบบุหรี่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของเรา ทำให้เกิดความเสี่ยงสูงต่อโรคหัวใจ มะเร็งปอดและโรคหลอดเลือดสมอง แต่ยังมีผลที่ตามอื่น ๆ ต่อสุขภาพที่หลาย ๆ คนอาจไม่ได้ตระหนักถึง ซึ่งก็คือการทำให้ระบบภูมิคุ้มกันบกพร่องได้ งานศึกษาหลายงานที่ระบุว่าการสูบบุหรี่:
1. ทำให้สารภูมิต้านทานเสียหายซึ่งอาจทำให้ความสามารถของร่างกายในการต่อสู้กับการติดเชื้อลดลง รวมถึงระยะการเจ็บป่วยของผู้ที่สูบบุหรี่ที่นานกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่
2. สร้างอนุมูลอิสระมากขึ้นและมีการใช้สารต้านอนุมูลอิสระในร่างกายมากขึ้นในการต่อต้านผลกระทบของอนุมูลอิสระ อนุมูลอิสระจะเกี่ยวข้องกับโรคต่าง ๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคท่อเลือดแดงและหลอดเลือดแดงแข็ง โรคอัลไซเมอร์ โรคพาร์กินสัน ภูมิคุ้มกันตนเองและการอักเสบผิดปกติ โรคเบาหวาน ฯลฯ
5.ควรดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่พอเหมาะเท่านั้น
มีการพบว่าการดื่มมากเกินไปอาจทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงและทำให้เสี่ยงต่อไวรัสได้ง่าย นอกจากนี้ ยังอาจทำให้การทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกันในปอดและระบบทางเดินหายใจส่วนบนแย่ลง
6.คงไว้ซึ่งทัศนคติเชิงบวก
ระบบภูมิคุ้มกันมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับระดับความเครียด การเกิดความเครียดจะทำให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายลดลง ทำให้ร่างกายติดเชื้อได้ง่าย – เมื่อรู้สึกเครียด ระบบตอบสนองความเครียดของร่างกายจะรับรู้ว่าสาว ๆ กำลังเผชิญกับภัยคุกคามต่าง ๆ ระดับสารอะดรีนาลีนและคอร์ติซอล และอัตราการเต้นของหัวใจรวมทั้งความดันโลหิตจะสูงขึ้น กิจกรรมต่าง ๆ ของร่างกายควรกลับคืนสู่สภาวะปกติเมื่อภัยคุกคามผ่านไป แต่ถ้ายังรู้สึกเครียดอยู่ตลอดเวลา ปฏิกิริยาเหล่านี้จะดำเนินต่อไป ในกรณีเช่นนี้ ร่างกายจะสัมผัสกับคอร์ติซอลและฮอร์โมนความเครียดอื่น ๆ มากเกินไปอย่างต่อเนื่อง ระบบภูมิคุ้มกันจึงไม่สามารถตอบสนองได้ตามปกติ เพิ่มความเสี่ยงต่อสภาวะสุขภาพต่าง ๆ ดังนั้น ขอแนะนำให้พยายามอยู่ในอารมณ์เชิงบวกเสมอเพื่อป้องกันการเกิดความเครียด
7.รักษาความชุ่มชื้น
การรักษาความชุ่มชื้นเป็นสิ่งสำคัญอย่ายิ่งสำหรับการทำงานที่เหมาะสมของร่างกาย โดยรวมถึงเซลล์ อวัยวะและเนื้อเยื่อต่าง ๆ หากร่างกายขาดน้ำ การทำงานของร่างกายจะได้รับผลกระทบ เนื่องด้วยการขาดความสมดุลระหว่างเกลือกับน้ำตาลในร่างกาย นอกจากนี้ น้ำยังช่วยกำจัดสารพิษต่าง ๆ ออกจากร่างกายตามธรรมชาติ ดังนั้น การดื่มน้ำสามารถป้องกันสารพิษไม่ให้ไปสะสมในร่างกายและมีผลกระทบเชิงลบต่อระบบภูมิคุ้มกัน