โหลดแอปฯ
ดาวน์โหลด:
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอปวัตสัน
  • google-play.png
  • app-store.png
  • app-gallery.png
ค้นหาร้านค้า บทความน่าอ่าน
Watsons Services
0
ตะกร้า
Share

หูอื้อ คืออะไร หูอิ้อเกิดจากอะไร สาเหตุของอาการหูอื้อเรื้อรัง หูอื้อข้างเดียวไม่หาย หูอื้อบ่อยแก้ยังไงให้ไม่กวนใจ ไปอ่านกันเลย

หูอื้อข้างเดียวไม่หาย แก้ยังไง ไม่ให้รบกวนชีวิตประจำวัน

หูอื้อข้างเดียวไม่หาย แก้ยังไง ไม่ให้รบกวนชีวิตประจำวัน

อาการหูอื้อเป็นปัญหาที่หลายคนเคยประสบและสร้างความรำคาญในชีวิตประจำวัน บางรายอาการอาจเกิดขึ้นชั่วคราวและหายไปเอง แต่หลายคนต้องทนทุกข์กับอาการหูอื้อเรื้อรังที่ไม่หายขาด ส่งผลกระทบต่อการได้ยิน การสื่อสาร และคุณภาพชีวิต บทความนี้จะแนะนำวิธีการแก้ไขอาการหูอื้อตามสาเหตุต่างๆ และเทคนิคการดูแลตนเองที่ช่วยบรรเทาอาการโดยไม่ต้องพึ่งยา เพื่อให้คุณสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างปกติ

หูอื้อ คืออะไร

หูอื้อ คืออาการที่ผู้ป่วยรู้สึกว่ามีการอุดตันในหู เสียงไม่ชัดเจน หรือมีความรู้สึกเหมือนมีน้ำอยู่ในหู ทำให้การได้ยินลดลงชั่วคราวหรือถาวร สาเหตุมีได้หลายประการ ตั้งแต่การสะสมของขี้หูอุดตัน การติดเชื้อในหู การเปลี่ยนแปลงความดันอากาศ การได้รับความกระทบกระเทือนที่หู โรคภูมิแพ้ ไซนัสอักเสบ หรือแม้แต่การใช้ยาบางชนิด ในบางกรณี หูอื้ออาจเป็นอาการของปัญหาสุขภาพที่รุนแรงกว่า เช่น โรคเมนิแยร์ (Meniere’s disease) เนื้องอกในหู หรือภาวะโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม

สาเหตุของอาการหูอื้อเรื้อรัง

สาเหตุของอาการหูอื้อเรื้อรัง

อาการ หูอื้อไม่หาย มีสาเหตุได้หลายประการ:

1.การอักเสบของหูชั้นกลาง

การอักเสบของหูชั้นกลางมักมีอาการหูอื้อข้างเดียวได้ยินเสียงไม่ชัดเจน ร่วมกับมีความรู้สึกกดดันในหู ปวดหู และมีเสียงในหู บางรายอาจมีน้ำหรือหนองไหลออกจากหู อาการมักแย่ลงเมื่อนอนราบหรือเปลี่ยนระดับความสูงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเมื่อโดยสารเครื่องบินหรือลิฟต์ หากเป็นรุนแรงอาจมีไข้ วิงเวียนศีรษะ หรือคลื่นไส้ร่วมด้วย ซึ่งเป็นสัญญาณว่าควรพบแพทย์โดยเร็ว

2.ไซนัสอักเสบเรื้อรัง

ไซนัสอักเสบเรื้อรังเป็นภาวะที่โพรงจมูกและไซนัสมีการอักเสบต่อเนื่องนานกว่า 12 สัปดาห์ ผู้ป่วยมักมีอาการน้ำมูกไหลลงคอ คัดจมูก กลิ่นและรสชาติลดลง ปวดบริเวณใบหน้าโดยเฉพาะแถบหน้าผาก โหนกแก้ม หรือสันจมูก มีอาการหูอื้อเนื่องจากท่อยูสเตเชียนอุดตัน หายใจลำบาก มีเสมหะเหนียวสีเขียวหรือเหลือง และอาจมีอาการไอเรื้อรังโดยเฉพาะในเวลากลางคืนหรือเมื่อนอนราบ

3.ขี้หูอุดตัน

ขี้หูอุดตันเป็นสาเหตุหนึ่งของอาการหูอื้อที่พบได้บ่อย เมื่อมีการสะสมของขี้หูมากเกินไปจนอุดกั้นช่องหู ผู้ป่วยจะรู้สึกว่าหูอื้อ ได้ยินเสียงไม่ชัดเจน เหมือนมีน้ำอยู่ในหู บางรายอาจรู้สึกมีเสียงดังในหู (เสียงหึ่ง) หรือมีความรู้สึกกดดันในหู บางครั้งอาจมีอาการปวดหูร่วมด้วย โดยเฉพาะเมื่อมีการอักเสบ การได้ยินอาจลดลงชั่วคราวจนกว่าจะได้รับการรักษาที่เหมาะสม

4.การได้รับเสียงดังเป็นเวลานาน

การได้รับเสียงดังเป็นเวลานานเป็นสาเหตุสำคัญของอาการหูอื้อโดยจะเริ่มจากการรู้สึกอึดอัดในหู เสียงรอบตัวจะเบาลงหรือฟังไม่ชัด บางครั้งอาจมีเสียงดังคล้ายเสียงหึ่งในหู คล้ายเสียงน้ำไหลหรือเสียงกริ่ง และอาจรู้สึกมีความดันในหู เวลาพูดคุยกับผู้อื่นอาจรู้สึกว่าเสียงตัวเองดังผิดปกติ หากอาการเกิดจากการได้รับเสียงดังเฉียบพลัน มักมีอาการปวดหูร่วมด้วย ซึ่งอาการทั้งหมดนี้อาจคงอยู่ได้ตั้งแต่ไม่กี่ชั่วโมงจนถึงหลายวัน

5.โรคเมนิแยร์

อาการโรคเมนิแยร์ (Meniere’s Disease) เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของหูชั้นใน มีลักษณะอาการสำคัญ 4 อย่าง ได้แก่ มีอาการหูอื้อข้างเดียวเหมือนมีน้ำในหู ได้ยินเสียงลดลงแบบขึ้นๆ ลงๆ มีเสียงดังในหู (เสียงหึ่งๆ) โดยเฉพาะเสียงความถี่ต่ำ และมีอาการวิงเวียนศีรษะอย่างรุนแรง (เวอร์ติโก) ซึ่งอาจทำให้เสียการทรงตัว คลื่นไส้อาเจียน และเหงื่อออกมาก อาการเหล่านี้มักเกิดเป็นชุดและมาแบบเฉียบพลัน

6.ความดันโลหิตสูง

ความดันโลหิตสูงอาจเป็นสาเหตุของอาการหูอื้อข้างเดียวโดยผู้ที่มีภาวะนี้มักจะไม่แสดงอาการชัดเจน แต่บางรายอาจรู้สึกปวดศีรษะบริเวณท้ายทอย มึนงง เวียนศีรษะ หรือเหนื่อยง่ายกว่าปกติ หูอื้อที่เกิดจากความดันโลหิตสูงมักเกิดจากการที่เส้นเลือดในหูชั้นในตีบหรือแข็งตัว ทำให้การไหลเวียนของเลือดผิดปกติ ส่งผลต่อการทำงานของเซลล์ประสาทรับเสียง อาการมักเป็นมากขึ้นเมื่อความดันโลหิตสูงขึ้นอย่างฉับพลัน

7.การเปลี่ยนแปลงของความดันอากาศ

การเปลี่ยนแปลงของความดันอากาศเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดอาการหูอื้อ โดยเฉพาะเมื่อมีการเปลี่ยนระดับความสูงอย่างรวดเร็ว เช่น ขณะขึ้น-ลงเครื่องบิน หรือขับรถขึ้น-ลงภูเขา ผู้ป่วยจะรู้สึกว่าหูอุดตัน มีเสียงดังในหู การได้ยินลดลง และบางครั้งอาจมีอาการปวดหู เนื่องจากความดันอากาศภายในหูชั้นกลางและภายนอกไม่เท่ากัน ทำให้แก้วหูไม่สามารถสั่นได้ตามปกติ

8.ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด

ผลข้างเคียงจากยาบางชนิดที่อาจทำให้เกิดอาการหูอื้อได้แก่ ยาปฏิชีวนะกลุ่มอะมิโนไกลโคไซด์ เช่น เจนตามัยซิน ยาขับปัสสาวะบางชนิด รวมถึงยาแอสไพรินและยาแก้ปวดในกลุ่ม NSAIDs เมื่อใช้ในขนาดสูงหรือเป็นเวลานาน อาการหูอื้อมักเกิดขึ้นหลังเริ่มใช้ยาไม่นาน และอาจพบร่วมกับอาการเสียงในหูหรือการได้ยินลดลง หากสงสัยว่าอาการหูอื้อเกิดจากยาที่ใช้อยู่ ไม่ควรหยุดยาเอง แต่ควรปรึกษาแพทย์เพื่อปรับเปลี่ยนชนิดหรือขนาดยา

อาการที่สามารถพบร่วมกับหูอื้อได้

  • มีเสียงในหู (เสียงหึ่ง)
  • วิงเวียนศีรษะ
  • ปวดหู
  • น้ำไหลออกจากหู
  • การได้ยินลดลง
  • คลื่นไส้
  • การทรงตัวผิดปกติ

วิธีรักษาอาการหูอื้อ

1. การบรรเทาอาการเบื้องต้น

  • อ้าปากหาว
  • กลั้นหายใจแล้วขยับขากรรไกร
  • ดื่มน้ำบ่อยๆ
  • หลีกเลี่ยงบริเวณที่มีเสียงดัง
  • นวดบริเวณใบหูเบาๆ

2. ผลิตภัณฑ์และยาบรรเทาอาการหูอื้อ

หูอื้อมีหลายสาเหตุ และการรักษาต้องขึ้นอยู่กับต้นเหตุ ผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น

  • ยาลดน้ำมูก มีส่วนช่วยลดอาการบวมของเยื่อบุโพรงจมูก
  • ยาแก้แพ้ มีส่วนช่วยลดอาการหูอื้อที่เกี่ยวข้องกับภูมิแพ้
  • สเปรย์พ่นจมูก ลดอาการคัดจมูกและบรรเทาแรงดันในหู แต่ไม่ควรใช้ต่อเนื่องเกิน 3-5 วัน หากใช้ผิดวิธีหรือใช้ติดต่อกันนาน อาจทำให้เกิดภาวะจมูกบวมเรื้อรัง (Rebound congestion) ได้
  • ทั้งนี้ ยาเหล่านี้อาจช่วยบรรเทาอาการหูอื้อได้เมื่อใช้ให้ถูกต้องตรงกับต้นเหตุ และใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกรเท่านั้น

การป้องกันไม่ให้เกิดอาการหูอื้อ

การป้องกันไม่ให้เกิดอาการหูอื้อ

1. หลีกเลี่ยงสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดัง

ควรหลีกเลี่ยงสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดังควรฟังเพลงหรือดูวิดีโอด้วยระดับเสียงที่เหมาะสม ไม่เกินร้อยละ 60 ของระดับเสียงสูงสุด และไม่ควรใช้หูฟังติดต่อกันนานเกิน 1 ชั่วโมง ควรพักการฟังอย่างน้อย 10-15 นาที เพื่อให้หูได้พักจากเสียงดัง

2. สวมที่อุดหูเมื่อต้องอยู่ในที่มีเสียงดัง

การป้องกันไม่ให้เกิดอาการหูอื้อที่สำคัญคือการป้องกันการได้ยินของคุณจากเสียงดังที่เป็นอันตราย ควรสวมที่อุดหูหรืออุปกรณ์ป้องกันเสียงทุกครั้งเมื่อต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดัง เช่น คอนเสิร์ต โรงงาน สนามบิน หรือเมื่อใช้เครื่องมือที่มีเสียงดัง เช่น เครื่องตัดหญ้า สว่านไฟฟ้า ควรเลือกที่อุดหูที่มีค่า NRR (Noise Reduction Rating) ที่เหมาะสมกับระดับเสียงในสภาพแวดล้อมนั้นๆ และสวมให้แน่นพอดี

3. รักษาความสะอาดของหู

การป้องกันไม่ให้เกิดอาการหูอื้อ เริ่มต้นที่การรักษาความสะอาดของหูอย่างถูกวิธี ควรทำความสะอาดเฉพาะบริเวณใบหูและรูหูด้านนอกเท่านั้น ไม่ควรใช้ก้านสำลีหรือวัตถุแหลมแคบแยงเข้าไปในรูหู เพราะอาจทำให้ขี้หูอัดแน่นลึกเข้าไป หรือทำให้แก้วหูเกิดการบาดเจ็บได้ หากมีขี้หูอุดตัน ควรใช้น้ำยาละลายขี้หูตามคำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร และหลีกเลี่ยงการสัมผัสเสียงดังเป็นเวลานาน

4. ไม่แคะหูบ่อยเกินไป

การป้องกันไม่ให้เกิดอาการหูอื้อเริ่มจากการดูแลหูอย่างถูกวิธี โดยไม่ควรแคะหูบ่อยเกินไปเพราะจะทำให้ขี้หูซึ่งเป็นสารป้องกันตามธรรมชาติลดลง และอาจทำให้เกิดการระคายเคืองหรือบาดเจ็บในช่องหู การแคะหูไม่ถูกวิธียังอาจดันขี้หูให้อัดแน่นลึกเข้าไปในรูหู ทำให้เกิดการอุดตันและนำไปสู่อาการหูอื้อได้ ควรทำความสะอาดเฉพาะบริเวณที่มองเห็นได้เท่านั้น

5.ควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ

การควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติช่วยลดการเกิดหูอื้อได้ เนื่องจากความดันโลหิตสูงส่งผลต่อการไหลเวียนเลือดไปยังหูชั้นในลดลงซึ่งทำให้เกิดหูอื้อ จึงควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ลดการบริโภคเกลือและโซเดียม ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ลดความเครียด หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ พักผ่อนให้เพียงพอ และตรวจวัดความดันโลหิตเป็นประจำ หากมีประวัติความดันโลหิตสูงควรรับประทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด

6.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

การออกกำลังกายสม่ำเสมอ ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกายรวมถึงหู การเคลื่อนไหวร่างกายยังช่วยลดความเครียด ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของอาการหูอื้อ แนะนำให้ออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอเบาๆ เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยาน อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3-5 ครั้ง ครั้งละ 30 นาที เพื่อรักษาสุขภาพโดยรวม

เมื่อไหร่ควรพบแพทย์?

ควรพบแพทย์เมื่อมีอาการดังต่อไปนี้:

  • หูอื้อไม่หาย นานเกิน 1 สัปดาห์
  • มีน้ำหรือหนองไหลออกจากหู
  • มีไข้สูงร่วมด้วย
  • ปวดหูรุนแรง
  • เวียนศีรษะรุนแรง
  • การได้ยินแย่ลงอย่างชัดเจน

วิธีใช้ชีวิตประจำวันเมื่อมีอาการหูอื้อ

1. จัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม

การจัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมเมื่อมีอาการหูอื้อเป็นสิ่งสำคัญต่อคุณภาพชีวิต ควรหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีเสียงดังเกินไปหรือใช้อุปกรณ์ป้องกันเสียงเมื่อจำเป็น จัดให้มีแสงสว่างเพียงพอเพื่อช่วยในการอ่านปากเมื่อการได้ยินไม่ชัดเจน ลดเสียงรบกวนภายในบ้านโดยใช้วัสดุดูดซับเสียง เช่น พรม ผ้าม่านหนา จัดโต๊ะทำงานให้หันหน้าเข้าหาประตูเพื่อเห็นผู้ที่เข้ามา และใช้อุปกรณ์ช่วยเตือน เช่น ไฟกระพริบแทนเสียงกริ่ง

2. ปรับระดับเสียงในการสื่อสาร

วิธีใช้ชีวิตประจำวันเมื่อมีอาการหูอื้อควรปรับระดับเสียงในการสื่อสารโดยแจ้งให้คู่สนทนาทราบถึงอาการของคุณ เพื่อให้พวกเขาพูดด้วยความดังที่เหมาะสม ไม่เร็วเกินไป และหันหน้ามาทางคุณเพื่อให้สามารถอ่านริมฝีปากประกอบได้ หากอยู่ในที่ประชุมหรือสถานที่สาธารณะ ควรเลือกที่นั่งใกล้ผู้พูดและหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีเสียงรบกวนสูง อาจพิจารณาใช้แอปพลิเคชันช่วยแปลงเสียงพูดเป็นข้อความบนสมาร์ทโฟนเพื่อช่วยในการสื่อสาร

3. หลีกเลี่ยงการดำน้ำลึก

วิธีใช้ชีวิตประจำวันเมื่อมีอาการหูอื้อควรหลีกเลี่ยงการดำน้ำลึก เพราะแรงดันน้ำอาจทำให้อาการแย่ลง

4. พักผ่อนให้เพียงพอ

ควรนอนหลับอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อคืน เนื่องจากการนอนไม่เพียงพอทำให้ร่างกายเครียด ส่งผลให้อาการหูอื้อแย่ลง พยายามเข้านอนและตื่นในเวลาเดียวกันทุกวัน เพื่อให้ร่างกายมีจังหวะการพักผ่อนที่สม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ก่อนนอน 1-2 ชั่วโมง และสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายในห้องนอน

5. ลดความเครียด

เพราะความเครียดอาจทำให้อาการหูอื้อแย่ลง ควรฝึกเทคนิคการผ่อนคลาย เช่น การหายใจลึกๆ การทำสมาธิ หรือโยคะเบาๆ หลีกเลี่ยงการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดัง และพกอุปกรณ์ป้องกันเสียงเมื่อจำเป็นต้องอยู่ในที่เสียงดัง พยายามปรับกิจวัตรประจำวันให้มีการพักผ่อนอย่างเพียงพอ และทำกิจกรรมที่ชื่นชอบเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากอาการหูอื้อ

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับหูอื้อ


1.อาการหูอื้อหายเองได้ไหม

อาการหูอื้อที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงความดันอากาศ หวัด หรือการสะสมของขี้หูมักหายได้เองภายในไม่กี่วัน แต่หากเกิดจากปัญหาในหูชั้นกลาง ประสาทหู หรือโรคเรื้อรัง อาจต้องได้รับการรักษาจากแพทย์

2.หูอื้อข้างเดียวไม่หายอันตรายไหม

หูอื้อข้างเดียวที่เกิดขึ้นทันทีโดยไม่มีสาเหตุอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคร้ายแรง เช่น เส้นเลือดในสมองผิดปกติ หรือเนื้องอก ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

3.หูอื้อกี่วันหาย

ระยะเวลาการหายขึ้นอยู่กับสาเหตุ หากเกิดจากหวัดหรือความดันอากาศเปลี่ยน มักหายใน 3-7 วัน แต่หากเกิดจากการติดเชื้อหรือโรคเมนิแยร์ (Meniere’s disease) อาจใช้เวลานานกว่านั้น

4.ทำไมขึ้นเครื่องบินแล้วหูอื้อ

เกิดจากความดันอากาศภายในและภายนอกหูไม่เท่ากัน ช่วงเครื่องขึ้นหรือลง ทำให้แก้วหูไม่สามารถปรับสมดุลได้ทัน ควรเคี้ยวหมากฝรั่ง กลืนน้ำลาย หรือหาวเพื่อช่วยปรับความดัน

สรุป

อาการ หูอื้อไม่หาย แม้จะเป็นปัญหาที่รบกวนการใช้ชีวิต แต่สามารถรักษาและป้องกันได้ด้วยการดูแลตนเองอย่างถูกวิธี และการรักษาที่เหมาะสม หากมีอาการรุนแรงหรือเรื้อรัง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาที่ตรงกับสาเหตุ

คำเตือน: บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเบื้องต้นเท่านั้น ไม่สามารถใช้แทนการตรวจวินิจฉัยหรือคำแนะนำจากแพทย์ได้ หากมีอาการรุนแรงควรพบแพทย์โดยเร็ว

คลิกอ่านคอนเท้นอื่นๆที่น่าสนใจ

Previous

ท้องเสียห้ามกินอะไร คนท้องเสียควรกินอะไรบ้าง

Related Topics
Share
WHAT’S HOT
  1. 10 ร้านเสื้อผ้าในไอจีราคาถูก หลักร้อย ไม่ตกเทรนด์
  2. 12 สกินแคร์จาก CICA ส่วนผสมช่วยลดสิว ผิวระคายเคือง
  3. 10 สถานที่ขอพรเรื่องความรัก ช่วยคนโสดไม่ให้นก
  4. 15 ครีมบำรุงผิวขาว และครีมทาผิวขาวยี่ห้อไหนดี 2025
  5. แต่งหน้าเป๊ะปังด้วยเมคอัพ ชิ้นที่สอง1บาท
  6. ยาทาแผลในปาก คืออะไร ยาทาปากแก้ร้อนในมีกี่ประเภท
  7. ผมร่วงเยอะมากเกิดจากอะไร มารู้สาเหตุ และวิธีแก้ผมร่วงกัน
  8. โรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อราเกิดจากอะไร มารู้สาเหตุ อาการ และการรักษากัน
  9. แพ้เหงื่อตัวเอง โรคแพ้เหงื่อ มีอาการและวิธีดูแลรักษาอย่างไร
  10. หูอื้อข้างเดียวไม่หาย หูอื้อบ่อย แก้ยังไงให้ไม่กวนใจ
  11. ท้องเสียห้ามกินอะไร คนท้องเสียควรกินอะไรบ้าง
*/?>