หูอื้อ คืออะไร หูอิ้อเกิดจากอะไร สาเหตุของอาการหูอื้อเรื้อรัง หูอื้อข้างเดียวไม่หาย หูอื้อบ่อยแก้ยังไงให้ไม่กวนใจ ไปอ่านกันเลย
หูอื้อข้างเดียวไม่หาย แก้ยังไง ไม่ให้รบกวนชีวิตประจำวัน

อาการหูอื้อเป็นปัญหาที่หลายคนเคยประสบและสร้างความรำคาญในชีวิตประจำวัน บางรายอาการอาจเกิดขึ้นชั่วคราวและหายไปเอง แต่หลายคนต้องทนทุกข์กับอาการหูอื้อเรื้อรังที่ไม่หายขาด ส่งผลกระทบต่อการได้ยิน การสื่อสาร และคุณภาพชีวิต บทความนี้จะแนะนำวิธีการแก้ไขอาการหูอื้อตามสาเหตุต่างๆ และเทคนิคการดูแลตนเองที่ช่วยบรรเทาอาการโดยไม่ต้องพึ่งยา เพื่อให้คุณสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างปกติ
หูอื้อ คืออะไร
หูอื้อ คืออาการที่ผู้ป่วยรู้สึกว่ามีการอุดตันในหู เสียงไม่ชัดเจน หรือมีความรู้สึกเหมือนมีน้ำอยู่ในหู ทำให้การได้ยินลดลงชั่วคราวหรือถาวร สาเหตุมีได้หลายประการ ตั้งแต่การสะสมของขี้หูอุดตัน การติดเชื้อในหู การเปลี่ยนแปลงความดันอากาศ การได้รับความกระทบกระเทือนที่หู โรคภูมิแพ้ ไซนัสอักเสบ หรือแม้แต่การใช้ยาบางชนิด ในบางกรณี หูอื้ออาจเป็นอาการของปัญหาสุขภาพที่รุนแรงกว่า เช่น โรคเมนิแยร์ (Meniere’s disease) เนื้องอกในหู หรือภาวะโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม

สาเหตุของอาการหูอื้อเรื้อรัง
อาการ หูอื้อไม่หาย มีสาเหตุได้หลายประการ:
1.การอักเสบของหูชั้นกลาง
การอักเสบของหูชั้นกลางมักมีอาการหูอื้อข้างเดียวได้ยินเสียงไม่ชัดเจน ร่วมกับมีความรู้สึกกดดันในหู ปวดหู และมีเสียงในหู บางรายอาจมีน้ำหรือหนองไหลออกจากหู อาการมักแย่ลงเมื่อนอนราบหรือเปลี่ยนระดับความสูงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเมื่อโดยสารเครื่องบินหรือลิฟต์ หากเป็นรุนแรงอาจมีไข้ วิงเวียนศีรษะ หรือคลื่นไส้ร่วมด้วย ซึ่งเป็นสัญญาณว่าควรพบแพทย์โดยเร็ว
2.ไซนัสอักเสบเรื้อรัง
ไซนัสอักเสบเรื้อรังเป็นภาวะที่โพรงจมูกและไซนัสมีการอักเสบต่อเนื่องนานกว่า 12 สัปดาห์ ผู้ป่วยมักมีอาการน้ำมูกไหลลงคอ คัดจมูก กลิ่นและรสชาติลดลง ปวดบริเวณใบหน้าโดยเฉพาะแถบหน้าผาก โหนกแก้ม หรือสันจมูก มีอาการหูอื้อเนื่องจากท่อยูสเตเชียนอุดตัน หายใจลำบาก มีเสมหะเหนียวสีเขียวหรือเหลือง และอาจมีอาการไอเรื้อรังโดยเฉพาะในเวลากลางคืนหรือเมื่อนอนราบ
3.ขี้หูอุดตัน
ขี้หูอุดตันเป็นสาเหตุหนึ่งของอาการหูอื้อที่พบได้บ่อย เมื่อมีการสะสมของขี้หูมากเกินไปจนอุดกั้นช่องหู ผู้ป่วยจะรู้สึกว่าหูอื้อ ได้ยินเสียงไม่ชัดเจน เหมือนมีน้ำอยู่ในหู บางรายอาจรู้สึกมีเสียงดังในหู (เสียงหึ่ง) หรือมีความรู้สึกกดดันในหู บางครั้งอาจมีอาการปวดหูร่วมด้วย โดยเฉพาะเมื่อมีการอักเสบ การได้ยินอาจลดลงชั่วคราวจนกว่าจะได้รับการรักษาที่เหมาะสม
4.การได้รับเสียงดังเป็นเวลานาน
การได้รับเสียงดังเป็นเวลานานเป็นสาเหตุสำคัญของอาการหูอื้อโดยจะเริ่มจากการรู้สึกอึดอัดในหู เสียงรอบตัวจะเบาลงหรือฟังไม่ชัด บางครั้งอาจมีเสียงดังคล้ายเสียงหึ่งในหู คล้ายเสียงน้ำไหลหรือเสียงกริ่ง และอาจรู้สึกมีความดันในหู เวลาพูดคุยกับผู้อื่นอาจรู้สึกว่าเสียงตัวเองดังผิดปกติ หากอาการเกิดจากการได้รับเสียงดังเฉียบพลัน มักมีอาการปวดหูร่วมด้วย ซึ่งอาการทั้งหมดนี้อาจคงอยู่ได้ตั้งแต่ไม่กี่ชั่วโมงจนถึงหลายวัน
5.โรคเมนิแยร์
อาการโรคเมนิแยร์ (Meniere’s Disease) เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของหูชั้นใน มีลักษณะอาการสำคัญ 4 อย่าง ได้แก่ มีอาการหูอื้อข้างเดียวเหมือนมีน้ำในหู ได้ยินเสียงลดลงแบบขึ้นๆ ลงๆ มีเสียงดังในหู (เสียงหึ่งๆ) โดยเฉพาะเสียงความถี่ต่ำ และมีอาการวิงเวียนศีรษะอย่างรุนแรง (เวอร์ติโก) ซึ่งอาจทำให้เสียการทรงตัว คลื่นไส้อาเจียน และเหงื่อออกมาก อาการเหล่านี้มักเกิดเป็นชุดและมาแบบเฉียบพลัน
6.ความดันโลหิตสูง
ความดันโลหิตสูงอาจเป็นสาเหตุของอาการหูอื้อข้างเดียวโดยผู้ที่มีภาวะนี้มักจะไม่แสดงอาการชัดเจน แต่บางรายอาจรู้สึกปวดศีรษะบริเวณท้ายทอย มึนงง เวียนศีรษะ หรือเหนื่อยง่ายกว่าปกติ หูอื้อที่เกิดจากความดันโลหิตสูงมักเกิดจากการที่เส้นเลือดในหูชั้นในตีบหรือแข็งตัว ทำให้การไหลเวียนของเลือดผิดปกติ ส่งผลต่อการทำงานของเซลล์ประสาทรับเสียง อาการมักเป็นมากขึ้นเมื่อความดันโลหิตสูงขึ้นอย่างฉับพลัน
7.การเปลี่ยนแปลงของความดันอากาศ
การเปลี่ยนแปลงของความดันอากาศเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดอาการหูอื้อ โดยเฉพาะเมื่อมีการเปลี่ยนระดับความสูงอย่างรวดเร็ว เช่น ขณะขึ้น-ลงเครื่องบิน หรือขับรถขึ้น-ลงภูเขา ผู้ป่วยจะรู้สึกว่าหูอุดตัน มีเสียงดังในหู การได้ยินลดลง และบางครั้งอาจมีอาการปวดหู เนื่องจากความดันอากาศภายในหูชั้นกลางและภายนอกไม่เท่ากัน ทำให้แก้วหูไม่สามารถสั่นได้ตามปกติ
8.ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด
ผลข้างเคียงจากยาบางชนิดที่อาจทำให้เกิดอาการหูอื้อได้แก่ ยาปฏิชีวนะกลุ่มอะมิโนไกลโคไซด์ เช่น เจนตามัยซิน ยาขับปัสสาวะบางชนิด รวมถึงยาแอสไพรินและยาแก้ปวดในกลุ่ม NSAIDs เมื่อใช้ในขนาดสูงหรือเป็นเวลานาน อาการหูอื้อมักเกิดขึ้นหลังเริ่มใช้ยาไม่นาน และอาจพบร่วมกับอาการเสียงในหูหรือการได้ยินลดลง หากสงสัยว่าอาการหูอื้อเกิดจากยาที่ใช้อยู่ ไม่ควรหยุดยาเอง แต่ควรปรึกษาแพทย์เพื่อปรับเปลี่ยนชนิดหรือขนาดยา
อาการที่สามารถพบร่วมกับหูอื้อได้
- มีเสียงในหู (เสียงหึ่ง)
- วิงเวียนศีรษะ
- ปวดหู
- น้ำไหลออกจากหู
- การได้ยินลดลง
- คลื่นไส้
- การทรงตัวผิดปกติ
วิธีรักษาอาการหูอื้อ
1. การบรรเทาอาการเบื้องต้น
- อ้าปากหาว
- กลั้นหายใจแล้วขยับขากรรไกร
- ดื่มน้ำบ่อยๆ
- หลีกเลี่ยงบริเวณที่มีเสียงดัง
- นวดบริเวณใบหูเบาๆ
2. ผลิตภัณฑ์และยาบรรเทาอาการหูอื้อ
หูอื้อมีหลายสาเหตุ และการรักษาต้องขึ้นอยู่กับต้นเหตุ ผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น
- ยาลดน้ำมูก มีส่วนช่วยลดอาการบวมของเยื่อบุโพรงจมูก
- ยาแก้แพ้ มีส่วนช่วยลดอาการหูอื้อที่เกี่ยวข้องกับภูมิแพ้
- สเปรย์พ่นจมูก ลดอาการคัดจมูกและบรรเทาแรงดันในหู แต่ไม่ควรใช้ต่อเนื่องเกิน 3-5 วัน หากใช้ผิดวิธีหรือใช้ติดต่อกันนาน อาจทำให้เกิดภาวะจมูกบวมเรื้อรัง (Rebound congestion) ได้
- ทั้งนี้ ยาเหล่านี้อาจช่วยบรรเทาอาการหูอื้อได้เมื่อใช้ให้ถูกต้องตรงกับต้นเหตุ และใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกรเท่านั้น
การป้องกันไม่ให้เกิดอาการหูอื้อ

1. หลีกเลี่ยงสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดัง
ควรหลีกเลี่ยงสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดังควรฟังเพลงหรือดูวิดีโอด้วยระดับเสียงที่เหมาะสม ไม่เกินร้อยละ 60 ของระดับเสียงสูงสุด และไม่ควรใช้หูฟังติดต่อกันนานเกิน 1 ชั่วโมง ควรพักการฟังอย่างน้อย 10-15 นาที เพื่อให้หูได้พักจากเสียงดัง
2. สวมที่อุดหูเมื่อต้องอยู่ในที่มีเสียงดัง
การป้องกันไม่ให้เกิดอาการหูอื้อที่สำคัญคือการป้องกันการได้ยินของคุณจากเสียงดังที่เป็นอันตราย ควรสวมที่อุดหูหรืออุปกรณ์ป้องกันเสียงทุกครั้งเมื่อต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดัง เช่น คอนเสิร์ต โรงงาน สนามบิน หรือเมื่อใช้เครื่องมือที่มีเสียงดัง เช่น เครื่องตัดหญ้า สว่านไฟฟ้า ควรเลือกที่อุดหูที่มีค่า NRR (Noise Reduction Rating) ที่เหมาะสมกับระดับเสียงในสภาพแวดล้อมนั้นๆ และสวมให้แน่นพอดี
3. รักษาความสะอาดของหู
การป้องกันไม่ให้เกิดอาการหูอื้อ เริ่มต้นที่การรักษาความสะอาดของหูอย่างถูกวิธี ควรทำความสะอาดเฉพาะบริเวณใบหูและรูหูด้านนอกเท่านั้น ไม่ควรใช้ก้านสำลีหรือวัตถุแหลมแคบแยงเข้าไปในรูหู เพราะอาจทำให้ขี้หูอัดแน่นลึกเข้าไป หรือทำให้แก้วหูเกิดการบาดเจ็บได้ หากมีขี้หูอุดตัน ควรใช้น้ำยาละลายขี้หูตามคำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร และหลีกเลี่ยงการสัมผัสเสียงดังเป็นเวลานาน
4. ไม่แคะหูบ่อยเกินไป
การป้องกันไม่ให้เกิดอาการหูอื้อเริ่มจากการดูแลหูอย่างถูกวิธี โดยไม่ควรแคะหูบ่อยเกินไปเพราะจะทำให้ขี้หูซึ่งเป็นสารป้องกันตามธรรมชาติลดลง และอาจทำให้เกิดการระคายเคืองหรือบาดเจ็บในช่องหู การแคะหูไม่ถูกวิธียังอาจดันขี้หูให้อัดแน่นลึกเข้าไปในรูหู ทำให้เกิดการอุดตันและนำไปสู่อาการหูอื้อได้ ควรทำความสะอาดเฉพาะบริเวณที่มองเห็นได้เท่านั้น
5.ควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
การควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติช่วยลดการเกิดหูอื้อได้ เนื่องจากความดันโลหิตสูงส่งผลต่อการไหลเวียนเลือดไปยังหูชั้นในลดลงซึ่งทำให้เกิดหูอื้อ จึงควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ลดการบริโภคเกลือและโซเดียม ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ลดความเครียด หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ พักผ่อนให้เพียงพอ และตรวจวัดความดันโลหิตเป็นประจำ หากมีประวัติความดันโลหิตสูงควรรับประทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
6.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
การออกกำลังกายสม่ำเสมอ ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกายรวมถึงหู การเคลื่อนไหวร่างกายยังช่วยลดความเครียด ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของอาการหูอื้อ แนะนำให้ออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอเบาๆ เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยาน อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3-5 ครั้ง ครั้งละ 30 นาที เพื่อรักษาสุขภาพโดยรวม
เมื่อไหร่ควรพบแพทย์?
ควรพบแพทย์เมื่อมีอาการดังต่อไปนี้:
- หูอื้อไม่หาย นานเกิน 1 สัปดาห์
- มีน้ำหรือหนองไหลออกจากหู
- มีไข้สูงร่วมด้วย
- ปวดหูรุนแรง
- เวียนศีรษะรุนแรง
- การได้ยินแย่ลงอย่างชัดเจน
วิธีใช้ชีวิตประจำวันเมื่อมีอาการหูอื้อ
1. จัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม
การจัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมเมื่อมีอาการหูอื้อเป็นสิ่งสำคัญต่อคุณภาพชีวิต ควรหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีเสียงดังเกินไปหรือใช้อุปกรณ์ป้องกันเสียงเมื่อจำเป็น จัดให้มีแสงสว่างเพียงพอเพื่อช่วยในการอ่านปากเมื่อการได้ยินไม่ชัดเจน ลดเสียงรบกวนภายในบ้านโดยใช้วัสดุดูดซับเสียง เช่น พรม ผ้าม่านหนา จัดโต๊ะทำงานให้หันหน้าเข้าหาประตูเพื่อเห็นผู้ที่เข้ามา และใช้อุปกรณ์ช่วยเตือน เช่น ไฟกระพริบแทนเสียงกริ่ง
2. ปรับระดับเสียงในการสื่อสาร
วิธีใช้ชีวิตประจำวันเมื่อมีอาการหูอื้อควรปรับระดับเสียงในการสื่อสารโดยแจ้งให้คู่สนทนาทราบถึงอาการของคุณ เพื่อให้พวกเขาพูดด้วยความดังที่เหมาะสม ไม่เร็วเกินไป และหันหน้ามาทางคุณเพื่อให้สามารถอ่านริมฝีปากประกอบได้ หากอยู่ในที่ประชุมหรือสถานที่สาธารณะ ควรเลือกที่นั่งใกล้ผู้พูดและหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีเสียงรบกวนสูง อาจพิจารณาใช้แอปพลิเคชันช่วยแปลงเสียงพูดเป็นข้อความบนสมาร์ทโฟนเพื่อช่วยในการสื่อสาร
3. หลีกเลี่ยงการดำน้ำลึก
วิธีใช้ชีวิตประจำวันเมื่อมีอาการหูอื้อควรหลีกเลี่ยงการดำน้ำลึก เพราะแรงดันน้ำอาจทำให้อาการแย่ลง
4. พักผ่อนให้เพียงพอ
ควรนอนหลับอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อคืน เนื่องจากการนอนไม่เพียงพอทำให้ร่างกายเครียด ส่งผลให้อาการหูอื้อแย่ลง พยายามเข้านอนและตื่นในเวลาเดียวกันทุกวัน เพื่อให้ร่างกายมีจังหวะการพักผ่อนที่สม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ก่อนนอน 1-2 ชั่วโมง และสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายในห้องนอน
5. ลดความเครียด
เพราะความเครียดอาจทำให้อาการหูอื้อแย่ลง ควรฝึกเทคนิคการผ่อนคลาย เช่น การหายใจลึกๆ การทำสมาธิ หรือโยคะเบาๆ หลีกเลี่ยงการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดัง และพกอุปกรณ์ป้องกันเสียงเมื่อจำเป็นต้องอยู่ในที่เสียงดัง พยายามปรับกิจวัตรประจำวันให้มีการพักผ่อนอย่างเพียงพอ และทำกิจกรรมที่ชื่นชอบเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากอาการหูอื้อ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับหูอื้อ
1.อาการหูอื้อหายเองได้ไหม
อาการหูอื้อที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงความดันอากาศ หวัด หรือการสะสมของขี้หูมักหายได้เองภายในไม่กี่วัน แต่หากเกิดจากปัญหาในหูชั้นกลาง ประสาทหู หรือโรคเรื้อรัง อาจต้องได้รับการรักษาจากแพทย์
2.หูอื้อข้างเดียวไม่หายอันตรายไหม
หูอื้อข้างเดียวที่เกิดขึ้นทันทีโดยไม่มีสาเหตุอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคร้ายแรง เช่น เส้นเลือดในสมองผิดปกติ หรือเนื้องอก ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว
3.หูอื้อกี่วันหาย
ระยะเวลาการหายขึ้นอยู่กับสาเหตุ หากเกิดจากหวัดหรือความดันอากาศเปลี่ยน มักหายใน 3-7 วัน แต่หากเกิดจากการติดเชื้อหรือโรคเมนิแยร์ (Meniere’s disease) อาจใช้เวลานานกว่านั้น
4.ทำไมขึ้นเครื่องบินแล้วหูอื้อ
เกิดจากความดันอากาศภายในและภายนอกหูไม่เท่ากัน ช่วงเครื่องขึ้นหรือลง ทำให้แก้วหูไม่สามารถปรับสมดุลได้ทัน ควรเคี้ยวหมากฝรั่ง กลืนน้ำลาย หรือหาวเพื่อช่วยปรับความดัน
สรุป
อาการ หูอื้อไม่หาย แม้จะเป็นปัญหาที่รบกวนการใช้ชีวิต แต่สามารถรักษาและป้องกันได้ด้วยการดูแลตนเองอย่างถูกวิธี และการรักษาที่เหมาะสม หากมีอาการรุนแรงหรือเรื้อรัง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาที่ตรงกับสาเหตุ
คำเตือน: บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเบื้องต้นเท่านั้น ไม่สามารถใช้แทนการตรวจวินิจฉัยหรือคำแนะนำจากแพทย์ได้ หากมีอาการรุนแรงควรพบแพทย์โดยเร็ว
คลิกอ่านคอนเท้นอื่นๆที่น่าสนใจ