โหลดแอปฯ
ดาวน์โหลด:
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอปวัตสัน
  • google-play.png
  • app-store.png
  • app-gallery.png
ค้นหาร้านค้า บทความน่าอ่าน
Watsons Services
0
ตะกร้า
Share

หากคุณกำลังกังวลว่าตัวเอง เป็นเริมที่ปาก หรือสงสัยว่าอาการที่เกิดขึ้นคือ เริมที่ปาก หรือไม่ บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจอาการ การรักษา และวิธีป้องกันได้อย่างครบถ้วน

อาการเริ่มต้นของเริมที่ปากเป็นอย่างไร?

เป็นเริมที่ปาก

เมื่อเริ่ม ปากเป็นเริม คุณจะสังเกตเห็นอาการเตือนดังนี้:

1.รู้สึกคัน แสบ หรือเสียวบริเวณริมฝีปาก

*เริมที่ริมฝีปากมักเริ่มต้นด้วยอาการคัน แสบ หรือเสียวบริเวณริมฝีปาก ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนสำคัญที่บ่งบอกว่ากำลังจะเกิดตุ่มเริม โดยความรู้สึกนี้มักเกิดขึ้น 1-2 วันก่อนที่จะเห็นตุ่มชัดเจน การเป็นเริมที่ปากในระยะนี้ผู้ป่วยอาจรู้สึกถึงความผิดปกติเล็กๆ น้อยๆ เช่น รู้สึกชาหรือเสียวซ่าเป็นจุด มีอาการแสบร้อนเป็นพักๆ หรือมีความรู้สึกคันที่ผิดปกติ บางครั้งอาจสังเกตเห็นรอยแดงเล็กๆ หรือมีอาการบวมเพียงเล็กน้อยในบริเวณที่จะเกิดตุ่มเริม ปากเป็นเริมระยะนี้เป็นช่วงสำคัญที่สุดในการเริ่มต้นการรักษา เพราะหากรีบจัดการตั้งแต่มีอาการเตือนเหล่านี้ จะช่วยลดความรุนแรงและระยะเวลาของการเป็นเริมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ บางคนอาจมีอาการร่วมอื่นๆ เช่น รู้สึกอ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามร่างกาย หรือต่อมน้ำเหลืองที่คอบวมเล็กน้อย ซึ่งเป็นการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันต่อการกำเริบของไวรัสเริม การสังเกตและจดจำอาการเตือนเหล่านี้จะช่วยให้สามารถเริ่มการรักษาเริมที่ปากได้ทันท่วงที และเตรียมพร้อมสำหรับการดูแลตนเองในระยะต่อไป

อาการคัน แสบ เสียวที่ริมฝีปากเมื่อเริ่มเป็นเริมนั้น มีลักษณะเฉพาะและสามารถแบ่งออกเป็นช่วงเวลาต่างๆ ได้ดังนี้:

ช่วงแรกสุด (6-24 ชั่วโมงแรก)

  • เริ่มรู้สึกชาๆ เสียวๆ เป็นจุดเล็กๆ เฉพาะที่
  • อาจรู้สึกเหมือนมีไฟฟ้าช็อตเบาๆ เป็นพักๆ
  • ผิวอาจดูปกติแต่เมื่อสัมผัสจะรู้สึกไวต่อความรู้สึกมากกว่าปกติ
  • บางคนอาจรู้สึกอุ่นๆ ร้อนๆ เฉพาะจุด

ช่วง 24-48 ชั่วโมง

  • อาการคันจะชัดเจนขึ้น คล้ายถูกมดกัด
  • เริ่มมีอาการแสบร้อนเป็นระยะ
  • อาจรู้สึกตึงที่ผิวบริเวณนั้น
  • เริ่มสังเกตเห็นรอยแดงเล็กๆ

ลักษณะพิเศษของอาการ

  • อาการมักเกิดเฉพาะจุด ไม่กระจาย
  • ความรู้สึกจะเปลี่ยนไปมาระหว่างคัน แสบ และเสียว
  • อาการอาจรุนแรงขึ้นเมื่อโดนความร้อนหรือแสงแดด
  • บางครั้งอาจรู้สึกเหมือนมีกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ วิ่งอยู่ใต้ผิว

อาการร่วมอื่นๆ ที่อาจพบ

  • อาจมีอาการปวดหัวเล็กน้อย
  • รู้สึกเพลียหรืออ่อนแรงกว่าปกติ
  • ต่อมน้ำเหลืองบริเวณใกล้เคียงอาจบวมเล็กน้อย
  • บางรายอาจมีไข้ต่ำๆ

ความแตกต่างจากอาการผิดปกติอื่นๆ

  • ต่างจากริมฝีปากแห้งธรรมดาตรงที่อาการจะเกิดเฉพาะจุด
  • แตกต่างจากแผลร้อนในที่มักมีอาการเจ็บแสบชัดเจนกว่า
  • ไม่เหมือนการแพ้ที่มักมีอาการคันเป็นบริเวณกว้าง
  • ต่างจากแผลถลอกที่มีประวัติการกระแทกหรือบาดเจ็บ

ช่วงเวลาที่ควรเริ่มการรักษา

  • ควรเริ่มการรักษาทันทีที่สงสัยว่าจะเป็นเริม
  • ยาต้านไวรัสจะได้ผลดีที่สุดถ้าเริ่มใช้ในระยะนี้
  • การประคบเย็นในระยะแรกจะช่วยลดการอักเสบ
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือขยี้บริเวณที่มีอาการ

การป้องกันการลุกลาม

  • หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางในบริเวณที่มีอาการ
  • รักษาความสะอาดแต่ไม่ควรล้างบ่อยเกินไป
  • ใช้ลิปมันที่มีส่วนผสมของสารกันแดด
  • หลีกเลี่ยงอาหารรสจัดที่อาจทำให้ระคายเคือง

การสังเกตอาการผิดปกติ

ควรพบแพทย์ทันทีหากพบอาการต่อไปนี้:

  • มีไข้สูง
  • ปวดรุนแรงผิดปกติ
  • มีอาการบวมมากผิดปกติ
  • อาการคงอยู่นานเกิน 2 สัปดาห์

การสังเกตและเข้าใจอาการเริ่มต้นเหล่านี้จะช่วยให้สามารถจัดการกับเริมที่ปากได้อย่างมีประสิทธิภาพ และลดระยะเวลาการเป็นโรคได้อย่างมาก โดยเฉพาะในระยะที่เริ่มมีอาการคัน แสบ หรือเสียวที่ริมฝีปาก

1.ผิวหนังเริ่มแดงและบวม 

ผิวหนังที่เริ่มแดงและบวมเป็นสัญญาณเตือนแรกของเริมที่ปาก มักเกิดขึ้นใน 1-2 วันแรก โดยบริเวณที่เป็นจะรู้สึกร้อนและอาจมีอาการชาร่วมด้วย อาการนี้เกิดจากการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันต่อไวรัสที่กำลังแพร่กระจาย หากพบอาการเหล่านี้ ควรรีบเริ่มการรักษาด้วยยาต้านไวรัสทันที เพราะจะช่วยลดระยะเวลาและความรุนแรงของโรคเริมที่ปากได้

2.เกิดตุ่มน้ำใสเล็กๆ หลายตุ่มเรียงติดกัน

*เริมที่ปากเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสเฮอร์ปีส์ซิมเพล็กซ์ เมื่อเชื้อเริ่มแสดงอาการ คุณจะสังเกตเห็นกลุ่มตุ่มน้ำใสขนาดเล็กเรียงชิดติดกันคล้ายพวงองุ่นบริเวณริมฝีปากหรือใกล้เคียง ตุ่มเหล่านี้มักเกิดขึ้นหลังจากรู้สึกคัน แสบ หรือเสียวในบริเวณนั้น 1-2 วัน ตุ่มน้ำจะมีลักษณะใส นูนขึ้นเล็กน้อย และมักมีขอบแดงอักเสบล้อมรอบ การเกิดตุ่มน้ำเช่นนี้เป็นระยะที่เชื้อไวรัสกำลังเพิ่มจำนวนและแพร่กระจาย จึงควรระวังการสัมผัสหรือแตะต้องเพราะอาจแพร่เชื้อไปยังบริเวณอื่นหรือติดต่อสู่ผู้อื่นได้

3.ตุ่มน้ำจะแตกและเกิดเป็นแผลตกสะเก็ด

*เริมที่ปากมักเริ่มต้นด้วยอาการคัน แสบ หรือเสียวบริเวณริมฝีปาก จากนั้นผิวหนังจะเริ่มแดงและบวม ตามด้วยการเกิดตุ่มน้ำใสเล็กๆ หลายตุ่มเรียงติดกัน ปากเป็นเริมในระยะสุดท้าย ตุ่มน้ำเหล่านี้จะแตกออกและกลายเป็นแผลที่มีสะเก็ด ซึ่งต้องใช้เวลาประมาณ 7-14 วันในการหายสนิท การรักษาที่เร็วที่สุดคือการใช้ยาต้านไวรัสทาทันทีที่เริ่มมีอาการแรก พร้อมกับหลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือแกะบริเวณที่เป็น เพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำซ้อนและช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น

สาเหตุของการเป็นเริมที่ปาก

โรค เริมที่ปาก เกิดจากเชื้อไวรัสเฮอร์ปีส์ซิมเพล็กซ์ชนิดที่ 1 (HSV-1) โดยมีปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการ เช่น:

1.ความเครียด


เมื่อร่างกายอ่อนแอหรือมีปัจจัยกระตุ้น ไวรัสจะแสดงอาการขึ้นมา โดยปัจจัยที่มักกระตุ้นให้เกิดอาการ ได้แก่ ความเครียดสะสม การพักผ่อนไม่เพียงพอ การได้รับแสงแดดมากเกินไป การเจ็บป่วยหรือมีไข้ ระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง และภาวะภูมิคุ้มกันอ่อนแอ นอกจากนี้ การบาดเจ็บบริเวณริมฝีปากหรือการได้รับสารระคายเคืองก็สามารถกระตุ้นให้เกิดอาการปากเป็นเริมได้เช่นกัน

2.ภูมิคุ้มกันร่างกายอ่อนแอ


ไวรัสจะแฝงตัวอยู่ในระบบประสาทและสามารถกลับมาเป็นซ้ำได้เมื่อมีปัจจัยกระตุ้น โดยเฉพาะเมื่อร่างกายมีภูมิคุ้มกันอ่อนแอจากสาเหตุต่างๆ เช่น ความเครียดสะสม การพักผ่อนไม่เพียงพอ การติดเชื้อหรือป่วยด้วยโรคอื่น การได้รับแสงแดดจัด การมีประจำเดือน หรือการได้รับบาดเจ็บบริเวณปาก นอกจากนี้ การรับประทานอาหารไม่ครบ 5 หมู่ การดื่มแอลกอฮอล์ และการสูบบุหรี่ ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้ภูมิคุ้มกันร่างกายอ่อนแอและกระตุ้นให้เกิดอาการของโรคเริมที่ปากได้เช่นกัน

3.การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ


เมื่อร่างกายอ่อนแอจากการนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ ทำให้ภูมิคุ้มกันลดลง ปัจจัยอื่นๆ ที่กระตุ้นให้เกิดอาการได้แก่ ความเครียด การเจ็บป่วย การได้รับแสงแดดจัด ประจำเดือน และการบาดเจ็บบริเวณปาก เมื่อร่างกายอ่อนแอ ไวรัสจะฉวยโอกาสแบ่งตัวและแสดงอาการ ทำให้เกิดตุ่มน้ำใสและแผลที่ริมฝีปาก การรักษาสุขภาพให้แข็งแรงและการนอนหลับให้เพียงพอจึงเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันการกำเริบของโรคเริมที่ปาก

4.การได้รับแสงแดดจัด


แสงแดดจัดเป็นหนึ่งในปัจจัยกระตุ้นสำคัญที่ทำให้เกิดการกำเริบของเริมที่ปาก เนื่องจากรังสี UV ในแสงแดดสามารถกดภูมิคุ้มกันเฉพาะที่บริเวณริมฝีปาก ทำให้ไวรัสเริมที่แฝงตัวอยู่มีโอกาสกำเริบและแสดงอาการได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่ร่างกายอ่อนแอหรือพักผ่อนไม่เพียงพอ การป้องกันที่ดีที่สุดคือการหลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดจัดโดยตรง สวมหมวกปีกกว้าง ใช้ลิปมันที่มีส่วนผสมของสารกันแดด และพกร่มเมื่อต้องอยู่กลางแจ้ง หากมีประวัติเป็นเริมที่ปากบ่อย ควรระมัดระวังเป็นพิเศษในการป้องกันตัวเองจากแสงแดด เพราะการกำเริบแต่ละครั้งอาจทำให้เกิดความเจ็บปวด และส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน

5.ประจำเดือนมา


ฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงในช่วงมีประจำเดือนเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดอาการเป็นเริมที่ปาก เนื่องจากระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนที่ลดลงในช่วงมีประจำเดือน ส่งผลให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอลง ทำให้ไวรัสที่แฝงตัวอยู่ในเส้นประสาทมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้

นอกจากนี้ ความเครียดและความอ่อนล้าที่อาจเพิ่มขึ้นในช่วงมีประจำเดือน ก็เป็นปัจจัยเสริมที่ทำให้เกิดอาการเริมที่ปากได้ง่ายขึ้น ผู้ป่วยอาจสังเกตพบอาการคัน แสบร้อน หรือเจ็บบริเวณริมฝีปากก่อนที่จะมีตุ่มน้ำใสเกิดขึ้น ซึ่งต่อมาจะแตกและตกสะเก็ด การดูแลสุขภาพ พักผ่อนให้เพียงพอ และลดความเครียดในช่วงมีประจำเดือนจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยป้องกันการกำเริบของโรคเริมที่ปาก

6.การบาดเจ็บบริเวณปาก


การบาดเจ็บบริเวณปากเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่สามารถกระตุ้นให้เกิดอาการเริมที่ปากได้ เมื่อเนื้อเยื่อบริเวณปากได้รับบาดเจ็บ ไม่ว่าจะเป็นการกัดริมฝีปาก การใช้แปรงสีฟันแรงเกินไป หรือการรับประทานอาหารร้อนจนลวกปาก จะทำให้เกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อ ซึ่งเป็นโอกาสให้ไวรัสเริมที่แฝงตัวอยู่ในเส้นประสาทกลับมาเพิ่มจำนวนและก่อโรคได้

การบาดเจ็บยังทำให้ระบบภูมิคุ้มกันในบริเวณนั้นอ่อนแอลง ส่งผลให้ไวรัสเริมที่มักอาศัยอยู่ในเส้นประสาทบริเวณใบหน้าสามารถแสดงอาการได้ง่ายขึ้น โดยมักเริ่มจากอาการคัน แสบร้อน ตามด้วยตุ่มน้ำใสเล็กๆ ที่แตกออกกลายเป็นแผลในที่สุด

การป้องกันที่ดีที่สุดคือการหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บบริเวณปาก ระมัดระวังในการแปรงฟัน หลีกเลี่ยงอาหารร้อนจัด และดูแลริมฝีปากให้ชุ่มชื้นอยู่เสมอ เพื่อลดโอกาสการกระตุ้นให้เกิดอาการของโรคเริม

ระยะของเริมที่ปาก

ระยะของเริมที่ปาก

โดยมีระยะการดำเนินโรคเริมที่ปากดังนี้:

ระยะที่ 1: ปากเป็นเริมระยะแรกเริ่ม (Prodromal Stage)

  • ผู้ป่วยจะรู้สึกคัน แสบร้อน หรือเจ็บเล็กน้อยบริเวณที่จะเกิดแผล
  • อาจมีอาการชา หรือรู้สึกเสียวๆ บริเวณนั้น
  • ระยะนี้มักเกิดขึ้น 1-2 วันก่อนที่จะเห็นตุ่มน้ำใส

ระยะที่ 2: ปากเป็นเริมระยะตุ่มน้ำ (Blister Stage)

  • เกิดตุ่มน้ำใสเล็กๆ เป็นกลุ่ม
  • ตุ่มน้ำจะมีอาการเจ็บและแสบ
  • ระยะนี้มักคงอยู่ประมาณ 2-3 วัน

ระยะที่ 3: ปากเป็นเริมระยะแตก (Ulcer Stage)

  • ตุ่มน้ำจะแตกออกเป็นแผลตื้นๆ
  • เป็นระยะที่มีความเจ็บปวดมากที่สุด
  • แผลอาจมีเลือดออกได้ง่าย

ระยะที่ 4: ปากเป็นเริมระยะตกสะเก็ด (Crusting Stage)

  • แผลจะแห้งและเริ่มตกสะเก็ด
  • อาการเจ็บปวดจะเริ่มลดลง
  • ใช้เวลาประมาณ 2-3 วัน

ระยะที่ 5: ปากเป็นเริมระยะหาย (Healing Stage)

  • สะเก็ดจะค่อยๆ หลุดออก
  • ผิวใต้สะเก็ดจะค่อยๆ หายเป็นปกติ
  • ไม่ทิ้งรอยแผลเป็น หากไม่มีการติดเชื้อแทรกซ้อน

การรักษาควรเริ่มตั้งแต่ระยะแรก โดยการใช้ยาต้านไวรัสตามคำแนะนำของแพทย์ และหลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณที่เป็นแผลเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ

อาการแทรกซ้อนของเริมที่ปาก

เริมที่ปากอาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่ควรระวัง โดยเฉพาะในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง อาการแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยคือการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อน ทำให้เกิดแผลอักเสบลุกลามและหายช้า บางรายอาจมีต่อมน้ำเหลืองที่คอบวมโต เจ็บ และมีไข้ร่วมด้วย

ในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ผู้ป่วยเอดส์ ผู้ป่วยมะเร็ง หรือผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน เชื้อเริมอาจแพร่กระจายเข้าสู่กระแสเลือดและอวัยวะภายใน ก่อให้เกิดภาวะติดเชื้อรุนแรงที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต นอกจากนี้การติดเชื้อเริมที่ปากซ้ำๆ อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิต ทำให้ผู้ป่วยเครียด วิตกกังวล และขาดความมั่นใจในการเข้าสังคม

การป้องกันและรักษาปากเป็นเริมตั้งแต่เริ่มมีอาการจึงมีความสำคัญ ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม และหลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือเกาบริเวณแผล เพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำซ้อนและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น

วิธีรักษาเริมที่ปากให้หายเร็วที่สุด

1. การรักษาด้วยยา

การรักษาเริมที่ปากด้วยยาให้ได้ผลดีที่สุด ควรเริ่มรักษาทันทีที่มีอาการแสบ คัน หรือรู้สึกเจ็บบริเวณริมฝีปาก โดยแพทย์จะพิจารณาจ่ายยาต้านไวรัสชนิดรับประทาน ซึ่งจะช่วยยับยั้งการแบ่งตัวของไวรัสและลดระยะเวลาการเป็นแผล นอกจากยาต้านไวรัสชนิดรับประทานแล้ว แพทย์อาจพิจารณาให้ยาทาเฉพาะที่ เช่น ครีมหรือขี้ผึ้ง ต้านไวรัสเพื่อบรรเทาอาการและช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น ควรทายาบ่อยๆ ตามที่แพทย์สั่ง โดยทั่วไปแนะนำให้ทา 4-5 ครั้งต่อวัน การรักษาเริมที่ปากจะได้ผลดีที่สุดเมื่อเริ่มใช้ยาภายใน 72 ชั่วโมงแรกที่มีอาการ ระหว่างการรักษาควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสแผล ล้างมือให้สะอาด และไม่ใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่นเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ

  • ยาต้านไวรัสชนิดทา
    ครีมที่มีตัวยาต้านไวรัสมีประสิทธิภาพในการรักษาเริมที่ปาก โดยควรเริ่มทายาทันทีที่รู้สึกคัน แสบร้อน หรือเริ่มมีอาการแรก ๆ ของเริม การทายาในระยะแรกจะช่วยลดความรุนแรงของอาการและทำให้แผลหายเร็วขึ้น วิธีใช้คือทาบาง ๆ บริเวณที่เป็นแผลวันละ 5 ครั้ง ห่างกันประมาณ 4 ชั่วโมง เป็นเวลา 4-5 วัน

ข้อควรระวังคือต้องล้างมือให้สะอาดทั้งก่อนและหลังทายา หลีกเลี่ยงการใช้มือสัมผัสบริเวณที่เป็นแผลโดยตรง และไม่ควรใช้ยาร่วมกับผู้อื่นเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ นอกจากนี้ควรทายาจนครบตามกำหนดแม้ว่าแผลจะดูดีขึ้นแล้ว เพื่อป้องกันปากเป็นเริมกลับมาเป็นซ้ำ

  • ยาต้านไวรัสชนิดรับประทาน (ต้องได้รับการสั่งจ่ายโดยแพทย์)
    ยาต้านไวรัสชนิดรับประทานเป็นหนึ่งในวิธีการรักษาเริมที่ปากที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยยับยั้งการแบ่งตัวของเชื้อไวรัสเริม ทำให้อาการดีขึ้นเร็วและลดระยะเวลาการเป็นแผล การรับประทานยาควรเริ่มทันทีที่มีอาการแสดงแรกเริ่ม เช่น รู้สึกคัน แสบร้อน หรือเจ็บบริเวณริมฝีปาก จะช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งนี้ขนาดยาและระยะเวลาในการรับประทานจะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษา โดยพิจารณาจากความรุนแรงของอาการและประวัติการเป็นเริมของผู้ป่วยแต่ละราย ผู้ป่วยปากเป็นเริมควรรับประทานยาให้ครบตามที่แพทย์สั่ง แม้ว่าอาการจะดีขึ้นแล้วก็ตาม เพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำและการดื้อยา
  • ยาบรรเทาอาการปวด
    การรักษาอาการปวดจากเริมที่ปากสามารถทำได้โดยการใช้ยาบรรเทาอาการปวดทั้งชนิดรับประทานและชนิดทา ยาพาราเซตามอลเป็นตัวเลือกแรกที่แนะนำเนื่องจากมีความปลอดภัยสูงและหาซื้อได้ง่าย สามารถรับประทานได้ทุก 4-6 ชั่วโมงเมื่อมีอาการปวด แต่ไม่ควรเกิน 8 เม็ดต่อวัน

นอกจากนี้ยังมียาทาเฉพาะที่ซึ่งมีส่วนผสมของยาชา ช่วยบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อนได้ดี ควรทายาบางๆ บริเวณที่เป็นแผลวันละ 3-4 ครั้ง และหลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณแผลโดยตรง เพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำซ้อน

หากอาการปากเป็นเริมปวดรุนแรงมาก แพทย์อาจพิจารณาจ่ายยาแก้ปวดที่มีฤทธิ์แรงขึ้น แต่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด และควรใช้ยาตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัดเพื่อประสิทธิภาพในการรักษาที่ดีที่สุด

ทาลิปมัน

2. การดูแลตนเองที่บ้าน

  • ประคบเย็นเพื่อลดอาการปวดบวม
    โดยการประคบเย็นด้วยน้ำแข็งห่อผ้าสะอาดหรือถุงประคบเย็น วางบริเวณที่มีอาการครั้งละ 10-15 นาที วันละ 3-4 ครั้ง จะช่วยบรรเทาอาการปวด บวม และลดการอักเสบจากปากเป็นเริมได้ นอกจากนี้ควรรักษาความสะอาด หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือแกะแผล และทาลิปมันที่มีส่วนผสมของสารบำรุงเพื่อป้องกันแผลแห้งและแตก
  • ทาลิปมันที่มีส่วนผสมของสารกันแดด
    ระหว่างวันควรทาลิปมันที่มีส่วนผสมของสารกันแดดเพื่อป้องกันการกระตุ้นจากแสงแดด หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือแกะแผล ประคบเย็นเพื่อลดอาการบวมและปวด งดใช้เครื่องสำอางบริเวณที่เป็น และรักษาความสะอาดของบริเวณที่ปากเป็นเริมอย่างสม่ำเสมอ
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสแผล
    หลีกเลี่ยงการแกะหรือสัมผัสแผลโดยตรงเพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำซ้อน รักษาความสะอาดของบริเวณที่เป็นปากเป็นเริมด้วยน้ำสะอาด และล้างมือบ่อยๆ เพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อ
  • รักษาความสะอาดบริเวณที่เป็น
    เริ่มจากการรักษาความสะอาดบริเวณที่เป็นอย่างสม่ำเสมอ โดยล้างมือให้สะอาดก่อนสัมผัสบริเวณที่เป็นเริมทุกครั้ง ใช้น้ำสะอาดเช็ดทำความสะอาดแผลเบาๆ และซับให้แห้ง หลีกเลี่ยงการใช้สำลีหรือกระดาษทิชชูเช็ดแผลเริมที่ปากโดยตรงเพราะอาจติดแผลได้ ควรทายาต้านไวรัสตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด สามารถประคบเย็นเพื่อลดอาการปวดบวมและคัน งดใช้เครื่องสำอางบริเวณที่เป็น และหลีกเลี่ยงการแกะหรือสัมผัสแผลโดยตรง เพื่อป้องกันปากเป็นเริม การติดเชื้อซ้ำซ้อนและช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น
  • พักผ่อนให้เพียงพอ
    วิธีรักษาเริมที่ปากให้หายเร็วที่สุด เริ่มจากการพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อยวันละ 7-8 ชั่วโมง เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง

เริมที่ปากติดต่อได้ไหม

เริมที่ปากสามารถติดต่อจากคนสู่คนได้ผ่านการสัมผัสโดยตรงกับบริเวณที่มีตุ่มเริมหรือแผลเริม โดยเฉพาะในช่วงที่มีตุ่มน้ำใสหรือแผลที่ยังไม่แห้งสนิท การติดต่อมักเกิดจากการจูบ การใช้ภาชนะร่วมกัน เช่น แก้วน้ำ ช้อน การใช้ผ้าเช็ดหน้าหรือผ้าเช็ดตัวร่วมกัน รวมถึงการใช้เครื่องสำอางร่วมกัน เช่น ลิปสติก ลิปบาล์ม ดังนั้นในช่วงที่มีอาการของโรคเริมที่ปาก ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้อื่น และไม่ควรใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส

การป้องกันไม่ให้เป็นเริมที่ปากซ้ำ

1.รักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง


การป้องกันเริมที่ปากด้วยการรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง สามารถทำได้หลายวิธี เริ่มจากการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่ โดยเน้นอาหารที่มีวิตามินซี วิตามินบี และสังกะสีสูง เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ร่วมกับการออกกำลังกายสม่ำเสมออย่างน้อยสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อวัน การดื่มน้ำสะอาดวันละ 6-8 แก้ว และการจัดการความเครียดด้วยการทำสมาธิหรือกิจกรรมผ่อนคลาย เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงและมีภูมิต้านทานที่ดี

2.หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ที่เป็นเริม


หลีกเลี่ยงการสัมผัสโดยตรงกับผู้ที่ปากเป็นเริม ไม่ใช้ของส่วนตัวร่วมกัน เช่น แก้วน้ำ ช้อนส้อม ผ้าเช็ดหน้า หรือลิปสติก เนื่องจากเชื้อไวรัสสามารถแพร่กระจายผ่านการสัมผัสน้ำจากตุ่มหรือแผลเริมได้ หากอยู่ใกล้ชิดกับผู้ที่เป็นเริม ควรล้างมือบ่อยๆ และหลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณปากของตนเอง นอกจากนี้ ผู้ที่เป็นเริมที่ปากควรระมัดระวังไม่แพร่เชื้อไปยังผู้อื่น โดยงดการสัมผัสใกล้ชิดและแยกของใช้ส่วนตัวจนกว่าแผลจะหายสนิท

3.ไม่ใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น


หลีกเลี่ยงการสัมผัสโดยตรงกับผู้ที่มีแผลเริมที่ปาก ไม่ใช้ของส่วนตัวร่วมกัน เช่น แก้วน้ำ ช้อนส้อม ผ้าเช็ดหน้า หรือลิปสติก เนื่องจากเชื้อไวรัสสามารถแพร่กระจายผ่านการสัมผัสน้ำจากตุ่มหรือแผลเริมได้ หากอยู่ใกล้ชิดกับผู้ที่เป็นเริมที่ปาก ควรล้างมือบ่อยๆ และหลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณปากของตนเอง นอกจากนี้ ผู้ที่เป็นเริมที่ปากควรระมัดระวังไม่แพร่เชื้อไปยังผู้อื่น โดยงดการสัมผัสใกล้ชิดและแยกของใช้ส่วนตัวจนกว่าแผลจะหายสนิท

4.ทาลิปมันป้องกันแสงแดดเป็นประจำ


การป้องกันเริมที่ปากด้วยการทาลิปมันป้องกันแสงแดด เป็นวิธีที่สำคัญและมีประสิทธิภาพ ควรเลือกใช้ลิปมันที่มีค่า SPF อย่างน้อย 15 และมีส่วนผสมของสารบำรุงริมฝีปาก เช่น วิตามินอี บัตเตอร์ และน้ำมันธรรมชาติ ซึ่งช่วยปกป้องริมฝีปากจากรังสี UV ที่เป็นปัจจัยกระตุ้นสำคัญของโรคเริม ควรทาซ้ำทุก 2 ชั่วโมงเมื่ออยู่กลางแจ้ง และทาก่อนออกแดดอย่างน้อย 15 นาที นอกจากนี้ยังควรหลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดดจัดเป็นเวลานาน และสวมหมวกปีกกว้างเพื่อป้องกันแสงแดดโดยตรง

5.จัดการความเครียดอย่างเหมาะสม


การจัดการความเครียดเพื่อป้องกันโรคเริมที่ปากสามารถทำได้หลายวิธี เริ่มจากการฝึกหายใจลึกๆ เพื่อผ่อนคลาย การทำสมาธิหรือโยคะเป็นประจำ การออกกำลังกายสม่ำเสมอเพื่อลดความตึงเครียด การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อวัน การจัดตารางเวลาทำงานและพักผ่อนให้สมดุล หากรู้สึกเครียดมากควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ หรือพูดคุยกับคนใกล้ชิดเพื่อระบายความกังวล นอกจากนี้ การทำกิจกรรมที่ชื่นชอบ เช่น ฟังเพลง อ่านหนังสือ หรือทำงานอดิเรก ก็ช่วยผ่อนคลายความเครียดได้เช่นกัน

เมื่อไหร่ควรพบแพทย์?

ควรพบแพทย์เมื่อ เป็นเริมที่ปาก และมีอาการดังนี้:

  • แผลไม่หายภายใน 2 สัปดาห์
  • มีไข้สูง
  • ปวดรุนแรงผิดปกติ
  • แผลลุกลามหรือติดเชื้อ
  • เกิดอาการแพ้ยาที่ใช้

คำถามที่พบบ่อย

เริมที่ปาก ร้อนใน ปากนกกระจอก ต่างกันอย่างไร


ขอเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างเริมที่ปาก ร้อนใน และปากนกกระจอก แม้จะมีอาการคล้ายกัน แต่มีสาเหตุและลักษณะที่แตกต่างกัน โดยเริมที่ปากเกิดจากการติดเชื้อไวรัสเฮอร์ปีส์ซิมเพล็กซ์ มักเกิดตุ่มน้ำใสเป็นกลุ่มและติดต่อได้ ส่วนร้อนในเกิดจากภาวะร่างกายอ่อนแอหรือพักผ่อนไม่เพียงพอ มักเป็นแผลหลุมเดี่ยวๆ ไม่ติดต่อ
โรคปากนกกระจอกเกิดจากการสะสมของน้ำลายที่บริเวณมุมปาก ทำให้มุมปากแห้ง เกิดเป็นแผล มีปัจจัยกระตุ้นจากการขาดวิตามินบี และไม่ใช่โรคติดต่อ ต่างจากเริมที่ปากซึ่งเป็นโรคติดต่อทางผิวหนัง

เริมที่ปากรักษาด้วยสมุนไพรได้ไหม


เริมที่ปากสามารถบรรเทาอาการด้วยสมุนไพรได้ โดยควรใช้สมุนไพรเป็นการรักษาเสริมร่วมกับการรักษาตามแผนปัจจุบัน และควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้สมุนไพรทุกครั้ง

เริมที่ปากรักษากี่วันหาย


เริมที่ปากใช้เวลารักษาและหายประมาณ 7-14 วัน ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการและการดูแลรักษา หากได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสตั้งแต่มีอาการเริ่มแรก อาจช่วยลดระยะเวลาการหายของโรคเริมที่ปากให้เร็วขึ้นได้

เป็นเริมที่ปากมีเพศสัมพันธ์ได้ไหม


สำหรับผู้ที่เป็นเริมที่ปาก ควรงดการมีเพศสัมพันธ์ในระหว่างที่มีอาการ โดยเฉพาะการสัมผัสบริเวณที่มีแผลเริม เนื่องจากเชื้อไวรัสเฮอร์ปีส์ซิมเพล็กซ์สามารถแพร่กระจายได้ง่ายผ่านการสัมผัสโดยตรงกับแผล หรือการสัมผัสกับสารคัดหลั่งจากแผล ซึ่งอาจทำให้คู่นอนติดเชื้อและเกิดแผลเริมในบริเวณอื่นๆ ของร่างกายได้ ควรรอให้แผลเริมหายสนิท ไม่มีตุ่มน้ำหรือสะเก็ดแผลแล้ว จึงจะสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้อย่างปลอดภัย นอกจากนี้ ควรแจ้งให้คู่นอนทราบเกี่ยวกับการเป็นเริมที่ปาก เพื่อการป้องกันและระมัดระวังร่วมกัน

เป็นเริมที่ปากเจาะได้ไหม

ห้ามเจาะตุ่มเริมที่ปากเด็ดขาด เพราะอาจทำให้เกิดอันตรายและภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง เนื่องจากการเจาะจะทำให้เชื้อไวรัสแพร่กระจายไปยังบริเวณอื่น เสี่ยงต่อการติดเชื้อซ้ำซ้อน และทำให้แผลหายช้ากว่าปกติ นอกจากนี้ การเจาะหรือแกะตุ่มเริมที่ปากอาจทำให้เกิดแผลเป็นถาวร และยังเพิ่มโอกาสการแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่นได้ วิธีที่ดีที่สุดคือปล่อยให้ตุ่มเริมแห้งและหลุดลอกไปตามธรรมชาติ พร้อมทั้งใช้ยาตามที่แพทย์หรือเภสัชกรแนะนำ

สรุป

การ เป็นเริมที่ปาก อาจทำให้รู้สึกกังวลและไม่สบายตัว แต่สามารถรักษาให้หายได้ด้วยการดูแลที่ถูกต้องและการใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร หากคุณมีอาการ ปากเป็นเริม ให้เริ่มการรักษาตั้งแต่มีอาการเตือน และปฏิบัติตามวิธีป้องกันเพื่อลดโอกาสการกลับมาเป็นซ้ำ

หมายเหตุ: บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้เท่านั้น ไม่สามารถใช้แทนการปรึกษาแพทย์ได้ หากมีอาการรุนแรงควรพบแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม

หากต้องการปรึกษาเภสัชกรเพื่อรับคำปรึกษาเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพ แอดเลยที่นี่ Watsons Pharmacist

คลิกอ่านคอนเท้นอื่นๆที่น่าสนใจ

Previous

มอยเจอร์ไรเซอร์คืออะไร เลือกแบบไหนให้เหมาะกับภาพผิว

Next

ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ใช้อย่างไรให้ได้ผลและปลอดภัย

Related Topics
Share
WHAT’S HOT
  1. 10 ร้านเสื้อผ้าในไอจีราคาถูก หลักร้อย ไม่ตกเทรนด์
  2. 12 สกินแคร์จาก CICA ส่วนผสมช่วยลดสิว ผิวระคายเคือง
  3. 10 สถานที่ขอพรเรื่องความรัก ช่วยคนโสดไม่ให้นก
  4. 15 ครีมบำรุงผิวขาว และครีมทาผิวขาวยี่ห้อไหนดี 2025
  5. แต่งหน้าเป๊ะปังด้วยเมคอัพ ชิ้นที่สอง1บาท
  6. 40 ไอเดียทำเล็บสีลูกแก้ว โฮโลแกรม เล่นแสงส่องประกาย
  7. 15 ไอเดียทรงผมเพื่อนเจ้าสาวหน้ากลมแก้มอิ่ม แบบปล่อย
  8. มอยเจอร์ไรเซอร์คืออะไร เลือกแบบไหนให้เหมาะกับภาพผิว
  9. 20 ไอเดียทรงผมเพื่อนเจ้าสาวผมสั้น ดูดี อ่อนกว่าวัย
  10. เริมที่ปาก อาการเริ่มต้นเป็นแบบไหน? รักษาอย่างไรให้หายไวที่สุด!
  11. ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ใช้อย่างไรให้ได้ผลและปลอดภัย
*/?>