เหงือกบวมหายเองได้ไหม? ดูแลรักษายังไงไม่ให้เป็นหนักกว่าเดิม

เหงือกบวมเป็นอาการที่พบได้บ่อยและมักเกิดจากการสะสมของคราบแบคทีเรียบริเวณเหงือกและฟัน ซึ่งในระยะเริ่มต้นสามารถหายได้เองหากมีการดูแลสุขภาพช่องปากที่ดี แต่หากปล่อยไว้โดยไม่รักษาอาจลุกลามกลายเป็นโรคเหงือกอักเสบหรือโรคปริทันต์ที่รุนแรงได้ ดังนั้น เมื่อสังเกตพบอาการเหงือกบวมแดง เลือดออกง่ายเวลาแปรงฟัน หรือมีกลิ่นปาก ควรรีบปรับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปากและพบทันตแพทย์เพื่อรับการตรวจรักษาอย่างถูกต้อง
เหงือกบวมเกิดจากอะไรได้บ้าง?
เหงือกบวมเกิดจากหลายสาเหตุ ที่พบบ่อยได้แก่:
1.การแปรงฟันไม่สะอาด
การแปรงฟันไม่สะอาดเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการสะสมของคราบจุลินทรีย์บริเวณขอบเหงือกและซอกฟัน ซึ่งนำไปสู่การอักเสบของเหงือก ส่งผลให้เหงือกบวมแดง เลือดออกง่าย และอาจรู้สึกเจ็บหรือไม่สบายในช่องปาก หากละเลยการดูแล คราบจุลินทรีย์จะสะสมมากขึ้นจนแข็งตัวกลายเป็นหินปูน ซึ่งไม่สามารถกำจัดได้ด้วยการแปรงฟันตามปกติ หินปูนที่สะสมจะทำให้เกิดช่องว่างระหว่างเหงือกและฟัน เป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง และอาจนำไปสู่โรคปริทันต์ในที่สุด นอกจากนี้ การสะสมของแบคทีเรียจากเศษอาหารและน้ำตาลที่ตกค้างจะทำให้เกิดแผ่นคราบจุลินทรีย์ ซึ่งเมื่อไม่ได้รับการทำความสะอาดอย่างทั่วถึงจะกระตุ้นให้เหงือกบวมแดงและเลือดออกง่าย ดังนั้น การดูแลสุขภาพช่องปากที่ดี ควรแปรงฟันให้ถูกวิธี ใช้ไหมขัดฟัน และพบทันตแพทย์เป็นประจำเพื่อลดความเสี่ยงของปัญหาเหงือกและฟัน
2.การแปรงฟันแรงเกินไป
เหงือกถูกทำลาย ระคายเคืองและเลือดออกง่าย
การแปรงฟันแรงเกินไปเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เหงือกบวมและเกิดการบาดเจ็บ โดยเนื่องจากขนแปรงที่แข็งและแรงกดที่มากเกินไปจะทำลายเนื้อเยื่อเหงือกและเคลือบฟัน ส่งผลให้เหงือกเกิดการอักเสบ ระคายเคืองจนเหงือกบวมแดง เลือดออกง่าย นำไปสู่ปัญหาเหงือกร่น ฟันสึกเกิดอาการเสียวฟัน และอาจนำไปสู่การติดเชื้อในช่องปากได้ง่ายขึ้น ควรแปรงฟันอย่างถูกวิธีด้วยแรงที่พอเหมาะ ใช้แปรงสีฟันขนนุ่ม และควรเปลี่ยนแปรงสีฟันทุก 3-4 เดือนเพื่อป้องกันการระคายเคืองเหงือก หากยังมีเลือดออกที่เหงือกแม้แปรงฟันเบาแล้ว อาจเป็นสัญญาณของโรคเหงือกอักเสบ ควรพบทันตแพทย์เพื่อตรวจและรักษา
3. ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง
- ช่วงมีประจำเดือน
ในช่วงมีประจำเดือน ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนในร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลง ส่งผลให้หลอดเลือดในเหงือกขยายตัวและมีการไหลเวียนของเลือดมากขึ้น ทำให้เหงือกบวมแดง และอาจมีเลือดออกได้ง่าย นอกจากนี้ยังอาจทำให้เหงือกอ่อนแอและติดเชื้อได้ง่ายขึ้น จึงควรดูแลสุขภาพช่องปากเป็นพิเศษในช่วงนี้ โดยแปรงฟันอย่างอ่อนโยน ใช้ไหมขัดฟันเบา ๆ และหลีกเลี่ยงอาหารที่ระคายเคืองเหงือก - ตั้งครรภ์
ในช่วงตั้งครรภ์ ฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนที่เพิ่มสูงขึ้นส่งผลให้หลอดเลือดในเหงือกขยายตัวและมีการไหลเวียนของเลือดมากขึ้น ทำให้เหงือกบวมแดง มีอาการเจ็บและมีเลือดออกได้ง่าย โดยเฉพาะในช่วง3-8 เดือนไตรมาสที่สองและสามของการตั้งครรภ์ ภาวะนี้เรียกว่า “pregnancy gingivitis” หรือเหงือกอักเสบจากการตั้งครรภ์ ซึ่งอาการเหงือกบวมแดงจะดีขึ้นเองหลังคลอด แต่ระหว่างตั้งครรภ์ควรดูแลสุขภาพช่องปากเป็นพิเศษเพื่อป้องกันการติดเชื้อที่อาจส่งผลต่อทารกในครรภ์ - วัยหมดประจำเดือน
เมื่อเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน ฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกายจะลดลง ส่งผลให้เหงือกและเนื้อเยื่อในช่องปากบางลง เลือดมาเลี้ยงน้อยลง ทำให้เหงือกอ่อนแอและเกิดการอักเสบได้ง่าย นอกจากนี้ยังอาจพบอาการเหงือกแห้ง แสบร้อน รู้สึกไม่สบายในช่องปาก และมีโอกาสติดเชื้อในช่องปากได้ง่ายขึ้น จึงจำเป็นต้องดูแลสุขภาพช่องปากอย่างเคร่งครัด ทั้งการแปรงฟัน ใช้ไหมขัดฟัน และพบทันตแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอ
4.โรคเหงือกอักเสบ
- เป็นภาวะที่เกิดจากการสะสมของคราบจุลินทรีย์และแบคทีเรียบริเวณขอบเหงือก ทำให้เหงือกเกิดการอักเสบ ส่งผลให้มีอาการเหงือกแดง บวม และมีเลือดออกง่ายขณะแปรงฟันหรือใช้ไหมขัดฟัน หากไม่ได้รับการรักษา อาการอาจรุนแรงขึ้นจนกลายเป็นโรคปริทันต์อักเสบ ซึ่งอาจทำให้กระดูกรอบรากฟันถูกทำลายและสูญเสียฟันในที่สุด นอกจากนี้ บางรายอาจมีอาการเจ็บเหงือกเวลาเคี้ยวอาหาร และมีกลิ่นปากร่วมด้วย ดังนั้น ควรดูแลสุขภาพช่องปากให้ดีโดยการแปรงฟัน ใช้ไหมขัดฟันอย่างสม่ำเสมอ และพบทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพช่องปากเป็นประจำ
เหงือกบวมหายเองได้ไหม? มาดูกันชัด ๆ
อาการเหงือกบวมอาจหายเองได้หากเป็นการอักเสบในระยะเริ่มต้น อาการไม่รุนแรง และได้รับการดูแลสุขภาพช่องปากอย่างถูกวิธี ดังนี้:
วิธีดูแลเหงือกบวมเบื้องต้น
1.การทำความสะอาดช่องปาก
แปรงฟันอย่างถูกวิธี วันละ 2 ครั้ง
การแปรงฟันอย่างถูกต้อง ควรแปรงฟันวันละ 2 ครั้ง เช้าและก่อนนอน ใช้แปรงสีฟันขนนุ่ม วางแปรงทำมุม 45 องศากับเหงือก แปรงด้วยการขยับแปรงเบา ๆ เป็นวงกลมเล็ก ๆ หรือสั้น ๆ ขึ้นลง ทำความสะอาดทุกซี่และทุกด้าน ใช้เวลาแปรงอย่างน้อย 2 นาที และควรเปลี่ยนแปรงสีฟันทุก 3-4 เดือน หรือเมื่อขนแปรงเริ่มบาน
ใช้ไหมขัดฟันทุกวัน
การใช้ไหมขัดฟันเป็นประจำทุกวันถือเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการช่วยลดการสะสมของแบคทีเรียและลดความเสี่ยงต่อการอักเสบของเหงือก เพราะช่วยกำจัดคราบจุลินทรีย์และเศษอาหารในซอกฟันที่แปรงสีฟันเข้าไม่ถึง การใช้ขัดไหมขัดฟันควรทำอย่างนุ่มนวลและถูกวิธี คือ โอบรอบตัวฟันเป็นรูปตัว C และขยับขึ้นลงเบา ๆ หากใช้แรงมากเกินไปอาจทำให้เหงือกบาดเจ็บและเหงือกบวมมากขึ้นได้
บ้วนปากด้วยน้ำยาบ้วนปากที่ไม่มีแอลกอฮอล์
หากอาการเหงือกบวมเกิดจากการแปรงฟันแรงเกินไปหรือการระคายเคืองเล็กน้อย การบ้วนปากด้วยน้ำยาบ้วนปากที่ไม่มีแอลกอฮอล์จะช่วยลดการอักเสบและช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียในช่องปากได้ อย่างไรก็ตาม หากอาการเหงือกบวมไม่ดีขึ้นภายใน 1-2 สัปดาห์ หรือหากมีอาการรุนแรง เช่น มีหนอง มีกลิ่นปากรุนแรง หรือเหงือกร่น ควรพบทันตแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุที่แท้จริง
2.การประคบเย็น
บรรเทาอาการอักเสบ ลดอาการปวด บวม
ใช้น้ำแข็งห่อผ้าสะอาดประคบบริเวณที่เหงือกบวมครั้งละ 15-20 นาที วันละ 2-3 ครั้ง จะช่วยลดการอักเสบและความเจ็บปวด โดยอาจจะทำควบคู่กับการบ้วนปากด้วยน้ำเกลืออุ่นๆ ซึ่งจะช่วยลดการอักเสบและฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้
อย่างไรก็ตาม หากอาการเหงือกบวมไม่ดีขึ้นภายใน 1-2 สัปดาห์ หรือมีอาการรุนแรง เช่น มีหนอง เลือดออกง่าย หรือมีไข้ ควรรีบพบทันตแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาที่เหมาะสม
3.การนวดเหงือกเบา ๆ
กระตุ้นการไหลเวียนเลือด ลดการบวม
การนวดเหงือก โดยใช้นิ้วสะอาดหรือน้ำอุ่นในการนวดเหงือกเบา ๆ เป็นวงกลมอาจช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือดและลดการบวม แต่ควรทำด้วยความระมัดระวังและไม่ควรทำหากมีอาการปวดรุนแรง
หากอาการเหงือกบวมไม่ดีขึ้นภายใน 1-2 สัปดาห์ หรือมีอาการรุนแรงขึ้น เช่น มีเลือดออกหรืออาการเจ็บมาก ควรพบทันตแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม นอกจากนี้ การดูแลช่องปากให้สะอาดโดยการแปรงฟันวันละ 2 ครั้ง และใช้ไหมขัดฟันทุกวันก็เป็นสิ่งสำคัญในการลดการสะสมของคราบจุลินทรีย์ ซึ่งอาจช่วยบรรเทาอาการเหงือกบวมได้
เมื่อไหร่ควรพบทันตแพทย์?
ควรพบทันตแพทย์เมื่อมีอาการดังนี้:
เหงือกบวมนานเกิน 1-2 สัปดาห์
หากคุณมีอาการเหงือกบวมนานเกิน 1-2 สัปดาห์ แม้จะดูแลสุขภาพช่องปากอย่างดีแล้ว ควรรีบไปพบทันตแพทย์โดยเร็ว เพราะอาจเป็นสัญญาณของโรคเหงือกอักเสบรุนแรงหรือโรคปริทันต์ ซึ่งเป็นการอักเสบที่ลุกลามถึงกระดูกรองรับฟัน หากปล่อยไว้นานโดยไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง อาจทำให้เกิดการละลายของกระดูกและนำไปสู่การสูญเสียฟันในที่สุด นอกจากนี้ เหงือกบวมเรื้อรังอาจเป็นอาการของโรคทางระบบอื่น ๆ เช่น เบาหวาน หรือภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ที่ต้องได้รับการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม
มีเลือดออกบ่อย
ควรพบทันตแพทย์ทันทีเมื่อมีเลือดออกจากเหงือกบ่อยครั้ง โดยเฉพาะเมื่อแปรงฟันหรือใช้ไหมขัดฟัน เพราะอาการเลือดออกที่เหงือกบ่อย ๆ อาจเป็นสัญญาณของโรคเหงือกอักเสบในระยะเริ่มต้น หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการรักษา อาจลุกลามกลายเป็นโรคปริทันต์อักเสบ ซึ่งทำให้เกิดการทำลายกระดูกรอบ ๆ รากฟัน ส่งผลให้ฟันโยก และอาจต้องถอนฟันในที่สุด นอกจากนี้ เลือดที่ออกบ่อย ๆ อาจบ่งชี้ถึงปัญหาสุขภาพอื่น ๆ เช่น โรคเบาหวาน หรือภาวะเกล็ดเลือดต่ำได้อีกด้วย
เจ็บปวดรุนแรง
เมื่อมีอาการเหงือกบวมที่รุนแรงและเจ็บปวดมาก ควรรีบพบทันตแพทย์โดยเร็ว โดยเฉพาะเมื่อมีอาการต่อไปนี้ร่วมด้วย: ปวดฟันรุนแรงจนรบกวนการนอนหลับ มีไข้สูง ต่อมน้ำเหลืองที่คอบวม เหงือกมีหนองหรือมีกลิ่นเหม็น เลือดออกง่ายเมื่อแปรงฟัน
มีหนองไหล
อาการเหงือกบวมที่มีหนองไหลเป็นสัญญาณอันตรายที่บ่งบอกถึงการติดเชื้อรุนแรงในช่องปาก ควรรีบพบทันตแพทย์ทันทีเพื่อรับการตรวจและรักษา เพราะหากปล่อยทิ้งไว้อาจลุกลามเป็นฝีที่เหงือกหรือกระดูกขากรรไกร ซึ่งอาจส่งผลให้ฟันโยก สูญเสียฟัน หรือการติดเชื้อกระจายไปยังส่วนอื่นของร่างกายได้ นอกจากนี้หนองที่ไหลออกมายังมีเชื้อแบคทีเรียที่อาจทำให้เกิดการติดเชื้อซ้ำซ้อนได้ การรักษาอาการเหงือกบวมที่มีหนองไหลที่ถูกต้องจากทันตแพทย์จะช่วยกำจัดต้นเหตุของการติดเชื้อและป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
ฟันโยก
เมื่อสังเกตพบว่าฟันมีอาการโยก ควรรีบพบทันตแพทย์โดยเร็วที่สุด เพราะฟันโยกเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพช่องปากที่รุนแรง โดยเฉพาะโรคปริทันต์อักเสบที่ทำลายกระดูกและเนื้อเยื่อที่ยึดฟัน หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการรักษา อาจนำไปสู่การสูญเสียฟันอย่างถาวร ซึ่งส่งผลกระทบต่อการบดเคี้ยวอาหารและความสวยงาม นอกจากนี้ การติดเชื้อในช่องปากยังอาจแพร่กระจายไปยังส่วนอื่นของร่างกายได้
มีกลิ่นปากรุนแรง
หากมีอาการกลิ่นปากรุนแรงผิดปกติร่วมกับเหงือกบวม ควรรีบพบทันตแพทย์โดยเร็ว เนื่องจากกลิ่นปากที่รุนแรงเป็นสัญญาณของการติดเชื้อในช่องปาก โดยเฉพาะเมื่อมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น เหงือกมีสีแดงเข้ม เลือดออกง่ายเมื่อแปรงฟัน มีหนองที่เหงือก หรือฟันโยก การติดเชื้อในช่องปากหากปล่อยไว้อาจลุกลามและทำให้เกิดโรคปริทันต์อักเสบรุนแรง ซึ่งอาจส่งผลให้สูญเสียฟันในที่สุด
อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงสำหรับคนเหงือกบวม
คนที่มีอาการเหงือกบวมควรหลีกเลี่ยงอาหารที่อาจทำให้เหงือกระคายเคืองหรือบาดเจ็บเพิ่มขึ้น เช่น อาหารที่มีรสเผ็ดจัด เปรี้ยวจัด หรืออาหารที่มีลักษณะแข็งกรอบที่อาจบาดเหงือก นอกจากนี้ควรงดอาหารรสจัด ขนมหวาน น้ำอัดลม และเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนสูง เนื่องจากอาหารเหล่านี้อาจกระตุ้นการอักเสบและทำให้แบคทีเรียในช่องปากเจริญเติบโตได้ดียิ่งขึ้น ส่งผลให้อาการเหงือกบวมรุนแรงมากขึ้น ควรเลือกรับประทานอาหารอ่อน ๆ ที่เคี้ยวง่าย และดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ
วิธีป้องกันเหงือกบวมในระยะยาว
1.การดูแลสุขภาพช่องปากประจำวัน
- ใช้แปรงสีฟันขนนุ่ม
การเลือกใช้แปรงสีฟันขนนุ่มที่เหมาะสม จะช่วยทำความสะอาดฟันและเหงือกได้อย่างนุ่มนวล ไม่ระคายเคืองเหงือก และลดความเสี่ยงการเกิดแผลที่เหงือก ควรแปรงฟันอย่างถูกวิธี - เปลี่ยนแปรงสีฟันทุก 3 เดือน
ควรเปลี่ยนแปรงสีฟันทุก 3 เดือนหรือเมื่อขนแปรงเริ่มบาน เพราะแปรงสีฟันที่เก่าจะสะสมเชื้อแบคทีเรียและไม่สามารถทำความสะอาดฟันได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ควรพบทันตแพทย์เพื่อขูดหินปูนอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง และหลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลสูง รวมถึงงดสูบบุหรี่ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคเหงือก - ใช้ยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์
การป้องกันเหงือกบวมในระยะยาวนั้น การเลือกใช้ยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์เป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากฟลูออไรด์ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับเคลือบฟัน ป้องกันฟันผุ และลดการสะสมของแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของเหงือกอักเสบ ควรแปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เช้าและก่อนนอน ใช้เวลาแปรงนานประมาณ 2 นาที และควรเปลี่ยนแปรงสีฟันทุก 3-4 เดือน นอกจากนี้ ควรใช้ไหมขัดฟันเป็นประจำเพื่อกำจัดคราบอาหารในซอกฟันที่แปรงสีฟันเข้าไม่ถึง
2.การเลือกอาหาร
- ลดอาหารหวาน
การเลือกอาหารที่เหมาะสมมีส่วนสำคัญในการบรรเทาอาการเหงือกบวม ควรเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพช่องปาก โดยเฉพาะอาหารที่มีวิตามินซีสูง เช่น ส้ม กีวี มะเขือเทศ และผักใบเขียว ซึ่งช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและการซ่อมแซมเนื้อเยื่อเหงือก สำหรับอาหารหวาน ควรหลีกเลี่ยงหรือลดการรับประทานลง เนื่องจากน้ำตาลเป็นอาหารของแบคทีเรียในช่องปาก ยิ่งรับประทานมาก ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการอักเสบของเหงือกและฟันผุ การดื่มน้ำเปล่าบ่อย ๆ จะช่วยชะล้างน้ำตาลและแบคทีเรียออกจากช่องปากได้ - เพิ่มผักและผลไม้
การเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสมมีส่วนสำคัญในการบรรเทาอาการเหงือกบวมและช่วยเสริมสร้างสุขภาพเหงือก โดยควรเน้นการรับประทานผักและผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินซี เช่น ส้ม กีวี มะเขือเทศ บรอกโคลี และพริกหวาน ซึ่งช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนและกระตุ้นการซ่อมแซมเนื้อเยื่อเหงือก นอกจากนี้ควรเลือกอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น นม โยเกิร์ต และปลาตัวเล็ก รวมถึงอาหารที่มีโอเมก้า-3 อย่างปลาแซลมอน ซึ่งช่วยลดการอักเสบได้ และควรเลือกอาหารที่อ่อนนุ่ม เคี้ยวง่าย หลีกเลี่ยงอาหารแข็ง กรอบ หรือมีความร้อนจัด เพราะอาจระคายเคืองเหงือกที่บวมอยู่ - ดื่มน้ำเปล่าเยอะ ๆ
เมื่อมีอาการเหงือกบวม การดื่มน้ำอย่างเพียงพอเป็นสิ่งสำคัญในการบรรเทาอาการและป้องกันไม่ให้อาการเหงือกบวมแย่ลง การดื่มน้ำเปล่าสะอาด อย่างน้อย 8 แก้วต่อวัน จะช่วยชะล้างแบคทีเรียในช่องปาก ลดการสะสมของเชื้อโรค และช่วยให้เหงือกชุ่มชื้น ไม่แห้งแตกจนเสี่ยงต่อการติดเชื้อเพิ่มเติม
3.การตรวจสุขภาพช่องปาก
- พบทันตแพทย์ทุก 6 เดือน
การตรวจสุขภาพช่องปากกับทันตแพทย์ทุก 6 เดือนเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันและบรรเทาอาการปัญหาเหงือกบวม เนื่องจากทันตแพทย์จะทำการตรวจประเมินสภาวะเหงือก ขูดหินปูน และทำความสะอาดคราบจุลินทรีย์ที่สะสมใต้เหงือกซึ่งแปรงสีฟันไม่สามารถทำความสะอาดได้ถึง นอกจากนี้ยังช่วยตรวจพบปัญหาอื่น ๆ ในช่องปากตั้งแต่ระยะเริ่มต้น เช่น ฟันผุ รูรั่วของวัสดุอุด หรือการสึกของฟัน ทำให้สามารถรักษาได้ทันท่วงทีก่อนที่อาการจะรุนแรงขึ้น - ขูดหินปูนเมื่อจำเป็น
ทันตแพทย์จะประเมินสภาวะเหงือกและฟัน ตรวจหาจุดที่มีการสะสมของคราบจุลินทรีย์และหินปูน ซึ่งเป็นสาเหตุของเหงือกอักเสบ การขูดหินปูนจะช่วยกำจัดแหล่งสะสมของเชื้อแบคทีเรีย ทำให้เหงือกกลับมาแข็งแรง ลดการอักเสบ และป้องกันการลุกลามเป็นโรคปริทันต์ที่รุนแรงได้ - ตรวจคัดกรองโรคเหงือก
ทันตแพทย์จะตรวจประเมินสภาวะเหงือกด้วยเครื่องมือพิเศษ วัดความลึกของร่องเหงือก ตรวจการอักเสบ การมีเลือดออก และการถอยร่นของเหงือก นอกจากนี้ยังมีการถ่ายภาพรังสีเพื่อดูกระดูกรอบรากฟัน และตรวจหาหินปูนที่อาจสะสมใต้เหงือก ควรเข้ารับการตรวจอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง เพื่อป้องกันการลุกลามของโรคเหงือกที่อาจนำไปสู่การสูญเสียฟัน
ผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพช่องปากที่แนะนำ
1.แปรงสีฟันขนนุ่มพิเศษ
ผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพช่องปากที่เหมาะสำหรับผู้มีอาการเหงือกบวม ควรเริ่มจากแปรงสีฟันที่มีขนแปรงนุ่มพิเศษ (Extra-soft) เพราะจะช่วยทำความสะอาดได้อย่างอ่อนโยน ไม่ระคายเคืองเหงือกที่บอบบาง ขนแปรงที่นุ่มจะสามารถเข้าถึงร่องเหงือกได้ดี ช่วยกำจัดคราบจุลินทรีย์โดยไม่ทำให้เหงือกบาดเจ็บเพิ่ม
2.ยาสีฟันสำหรับเหงือกอักเสบ
ยาสีฟันสำหรับเหงือกอักเสบมักมีส่วนผสมที่ช่วยบำรุงเหงือกและลดการสะสมของแบคทีเรีย เช่น ฟลูออไรด์ อโลเวรา และน้ำมันทีทรี ซึ่งสามารถช่วยเสริมการทำความสะอาดช่องปากได้ การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ร่วมกับการทำความสะอาดช่องปากอย่างถูกวิธีจะช่วยบรรเทาอาการเหงือกบวมและป้องกันการอักเสบที่รุนแรงขึ้นได้
3.น้ำยาบ้วนปาก
ควรเลือกใช้น้ำยาบ้วนปากที่ไม่มีแอลกอฮอล์ ไม่มีสารที่อาจทำให้เกิดการระคายเคืองหรือแพ้ง่าย เช่น สารแต่งกลิ่นหรือสีที่มีสารเคมีมากเกินไป แนะนำให้กลั้วนานอย่างน้อย 30 วินาทีหรือตามที่ทันตแพทย์แนะนำ ทั้งนี้การกลั้วน้ำยาบ้วนปากเป็นระยะเวลาที่พอดีจะช่วยให้สารต้านเชื้อและส่วนผสมที่มีประโยชน์ในน้ำยาบ้วนปากทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4.ไหมขัดฟันคุณภาพสูง
ไหมขัดฟันควรเลือกชนิดที่มีความนุ่ม ไม่บาดเหงือก และมีสารเคลือบที่ช่วยลดการติดเศษอาหาร ซึ่งจะช่วยทำความสะอาดซอกฟันได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ระคายเคืองเหงือกที่บอบบาง
คำถามที่พบบ่อย
1.เหงือกบวมจัดฟันได้ไหม
การจัดฟันขณะมีอาการเหงือกบวมอาจทำให้การรักษาซับซ้อนขึ้น เนื่องจากเหงือกที่บวมและอักเสบจะทำให้การเคลื่อนที่ของฟันเป็นไปได้ยากและอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ ควรรักษาอาการเหงือกบวมให้หายก่อนเริ่มการจัดฟัน โดยพบทันตแพทย์เพื่อทำความสะอาดหินปูน รักษาสุขอนามัยช่องปากให้ดี และรอให้เหงือกกลับมาแข็งแรงเป็นปกติ จึงเริ่มการจัดฟันได้อย่างปลอดภัยและได้ผลดี
2.โรครำมะนาดกับเหงือกบวมเหมือนกันไหม
โรครำมะนาดและเหงือกบวมไม่ใช่โรคเดียวกัน แต่มีความเกี่ยวข้องกัน โดยโรครำมะนาดเป็นการอักเสบของเนื้อเยื่อรอบรากฟันที่เกิดจากการติดเชื้อ มักมีอาการปวดรุนแรง บวม และอาจมีหนองไหลออกมา ส่วนเหงือกบวมเป็นอาการที่เกิดจากการอักเสบของเหงือก ซึ่งอาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น การแปรงฟันไม่สะอาด การสะสมของคราบหินปูน หรือการระคายเคืองจากสิ่งต่าง ๆ หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา เหงือกบวมอาจลุกลามกลายเป็นโรครำมะนาดได้
สรุป
อาการเหงือกบวมสามารถป้องกันและรักษาได้ด้วยการดูแลสุขภาพช่องปากที่ดี แม้บางกรณีอาจ หายเองได้ แต่การละเลยอาจทำให้เกิดปัญหารุนแรงตามมา หากมีอาการเหงือกบวมแดงผิดปกติควรปรึกษาทันตแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม
หมายเหตุ: บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้เท่านั้น ไม่สามารถใช้แทนการปรึกษาทันตแพทย์ หากมีอาการรุนแรงควรพบทันตแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม
หากต้องการปรึกษาเภสัชกรเพื่อรับคำปรึกษาเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพ แอดเลยที่นี่ Watsons Pharmacist
คลิกอ่านคอนเท้นอื่นๆที่น่าสนใจ
- หูอื้อข้างเดียวไม่หาย หูอื้อบ่อย แก้ยังไงให้ไม่กวนใจ
- ท้องเสียห้ามกินอะไร คนท้องเสียควรกินอะไรบ้าง
- ยาทาแผลในปาก คืออะไร ยาทาปากแก้ร้อนในมีกี่ประเภท
- ผมร่วงเยอะมากเกิดจากอะไร มารู้สาเหตุ และวิธีแก้ผมร่วงกัน
- โรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อราเกิดจากอะไร มารู้สาเหตุ อาการ และการรักษากัน