ริมฝีปากแห้งเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยและส่งผลต่อความรู้สึกไม่สบายในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่ความรู้สึกตึงเล็กน้อยไปจนถึงแตกเป็นร่องลึกที่เจ็บปวด ถึงแม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นเพียงปัญหาชั่วคราว แต่ในบางกรณีอาจเป็นสัญญาณของภาวะสุขภาพที่ต้องการการดูแลทางการแพทย์ บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจสาเหตุของปากแห้ง สัญญาณอันตรายที่ควรสังเกต และวิธีดูแลตนเองที่ถูกต้อง
“ปากแห้งเป็นภาวะที่พบบ่อยในทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะในช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลง แต่หากมีอาการรุนแรงหรือเรื้อรัง อาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่ซ่อนอยู่” ศ.นพ.สมชาย วิริยะพงษ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

อาการปากแห้งเป็นอย่างไร?
อาการของปากแห้งมีหลายระดับ ตั้งแต่เล็กน้อยไปจนถึงรุนแรง:
- ระดับเล็กน้อย: ริมฝีปากตึง แห้ง สากเล็กน้อย
- ระดับปานกลาง: ริมฝีปากแห้ง เริ่มลอกเป็นขุย มีความรู้สึกไม่สบาย
- ระดับรุนแรง: ริมฝีปากแตกเป็นร่อง มีเลือดออก เจ็บปวด อักเสบ บวมแดง
ตามข้อมูลจากวารสารผิวหนังและความงามแห่งประเทศไทย (2566) พบว่าประมาณ 70% ของประชากรเคยประสบปัญหาปากแห้งในช่วงฤดูหนาวหรือช่วงที่อากาศแห้ง
สาเหตุที่ทำให้ปากแห้งมีอะไรบ้าง?
ขาดน้ำ-ดื่มน้ำน้อย
การดื่มน้ำไม่เพียงพอเป็นสาเหตุหลักของปากแห้ง ร่างกายมนุษย์ประกอบด้วยน้ำมากกว่า 60% การขาดน้ำจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อเนื้อเยื่อบอบบางเช่นริมฝีปาก
ภญ.ดร.วรรณี จันทร์สว่าง คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายว่า “การดื่มน้ำอย่างน้อย 8 แก้วต่อวันช่วยรักษาความชุ่มชื้นให้กับผิวทั่วร่างกาย รวมถึงริมฝีปากด้วย”
อายุที่มากขึ้น
เมื่ออายุมากขึ้น ผิวจะผลิตน้ำมันตามธรรมชาติน้อยลง ส่งผลให้ริมฝีปากแห้งได้ง่าย การศึกษาจากวารสารวิทยาการชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ แสดงให้เห็นว่าการผลิตน้ำมันผิวลดลง 10% ทุก 10 ปีหลังอายุ 30 ปี
ติดนิสัยชอบเลียริมฝีปาก
การเลียริมฝีปากอาจให้ความรู้สึกชุ่มชื้นชั่วคราว แต่จะทำให้แห้งมากขึ้นในระยะยาว เนื่องจากน้ำลายมีเอนไซม์ที่ออกแบบมาเพื่อย่อยอาหาร และเมื่อน้ำลายแห้ง จะดึงความชุ่มชื้นออกจากริมฝีปาก
อยู่ในสภาพอากาศหนาว-แห้ง
อากาศที่มีความชื้นต่ำ ไม่ว่าจะเป็นช่วงฤดูหนาว ห้องปรับอากาศ หรือพื้นที่ที่มีอากาศแห้งมาก จะส่งผลให้ผิวและริมฝีปากสูญเสียความชุ่มชื้นได้เร็วขึ้น ข้อมูลจากศูนย์อนามัยกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่าความชื้นในอากาศต่ำกว่า 40% สามารถทำให้ผิวแห้งและระคายเคืองได้
ปากแห้งจากการขาดวิตามิน และภาวะขาดสารอาหาร
การขาดวิตามินบางชนิดโดยเฉพาะวิตามิน B2 (ไรโบฟลาวิน), B3 (ไนอาซิน), B6 และสังกะสี สามารถทำให้เกิดอาการปากแห้งได้ การศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสารโภชนาการทางการแพทย์ พบความสัมพันธ์ระหว่างการขาดวิตามิน B และอาการผิวแห้ง รวมถึงริมฝีปากแตก5
สัมผัสอาหาร หรือผลิตภัณฑ์ที่ระคายเคือง
อาหารรสเผ็ด เครื่องสำอางบางชนิด ยาสีฟัน และผลิตภัณฑ์ดูแลริมฝีปากที่มีส่วนผสมของเมนทอล หรือการแพ้สารบางชนิดสามารถทำให้เกิดการระคายเคืองและริมฝีปากแห้งได้
การใช้ยารักษาโรคหรืออาหารเสริมบางชนิด
ยาบางประเภทสามารถทำให้เกิดอาการปากแห้ง โดยเฉพาะยาต้านฮิสตามีน ยารักษาสิว (Isotretinoin) ยาลดความดัน และยาขับปัสสาวะ
นพ.ธีระ ฉกาจนโรดม แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุรกรรมจากโรงพยาบาลศิริราช กล่าวว่า “ผู้ป่วยที่ใช้ยา Isotretinoin เพื่อรักษาสิวมักพบปัญหาริมฝีปากแห้งแตกเป็นอาการข้างเคียงที่พบบ่อย ควรเพิ่มการดูแลเป็นพิเศษ”
ริมฝีปากแห้งจากภูมิแพ้
อาการแพ้สารบางชนิดในลิปสติก ลิปบาล์ม หรือเครื่องสำอางอื่นๆ สามารถทำให้เกิดอาการปากแห้ง แดง และระคายเคืองได้
โรคเรื้อรังหรือภาวะทางผิวหนัง
โรคบางชนิด เช่น โรคเอ็กซีมา (Eczema), โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis), ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือการติดเชื้อราที่ปาก อาจทำให้มีอาการปากแห้งเรื้อรัง
งานวิจัยจากสมาคมโรคผิวหนังแห่งประเทศไทย พบว่า 40% ของผู้ป่วยโรคเอ็กซีมามีอาการที่ริมฝีปากร่วมด้วย
ปล่อยให้ปากแห้งมาก เป็นร่อง อันตรายไหม?
การปล่อยให้ปากแห้งมากจนแตกเป็นร่องลึกมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อและภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ได้ สัญญาณอันตรายที่ควรปรึกษาแพทย์มีดังนี้:
- ปากแห้งแตกเป็นเวลานานกว่า 2 สัปดาห์แม้ดูแลเป็นอย่างดี
- มีอาการเจ็บรุนแรง บวมแดงมาก
- มีหนองหรือสารคัดหลั่งไหลออกมา
- มีไข้ร่วมด้วย
- ริมฝีปากเปลี่ยนสีผิดปกติ (ซีด เขียว หรือม่วง)
- มีตุ่มหรือก้อนผิดปกติ
- มีอาการชา
รศ.พญ.จรัสศรี ฬียาพรรณ ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคปาก คณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เตือนว่า “รอยแตกที่ริมฝีปากเป็นช่องทางให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย โดยเฉพาะเชื้อแบคทีเรียและไวรัสเริม หากมีอาการรุนแรงควรปรึกษาแพทย์ทันที”
วิธีการดูแลตนเอง ป้องกัน ไม่ให้ปากแห้ง แตก เป็นร่อง
ดื่มน้ำให้มากขึ้น
ดื่มน้ำอย่างน้อย 8-10 แก้วต่อวัน เพื่อให้ร่างกายและผิวมีความชุ่มชื้นที่เพียงพอ การศึกษาจากวารสารโภชนาการและผิวหนัง พบว่า การดื่มน้ำเพิ่มขึ้น 2 ลิตรต่อวันสามารถเพิ่มความชุ่มชื้นของผิวได้ถึง 30%9
เลิกพฤติกรรมชอบเลียปาก
พยายามหลีกเลี่ยงการเลียริมฝีปาก แม้จะรู้สึกว่าช่วยให้ชุ่มชื้นในทันที แต่จะยิ่งทำให้แห้งมากขึ้นในระยะยาว
ไม่ควรดึงหรือแกะหากปากแห้งแตกและลอกเป็นขุย
การแกะหรือดึงขุยที่ริมฝีปากอาจทำให้เกิดบาดแผลและเลือดออกได้ ควรใช้วิธีสครับเบาๆ แทน
หมั่นทาลิปมันเป็นประจำ
เลือกลิปบาล์มที่มีส่วนผสมของสารให้ความชุ่มชื้น เช่น Beeswax, Shea Butter, Petroleum Jelly หรือ Hyaluronic Acid
ภญ.ดร.นงลักษณ์ สถิตย์วัฒน์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น แนะนำว่า “ควรเลือกลิปบาล์มที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติ และควรทาซ้ำทุก 2-3 ชั่วโมง โดยเฉพาะในสภาพอากาศแห้ง”
อมลูกอมหรือเคี้ยวหมากฝรั่ง
การอมลูกอมหรือเคี้ยวหมากฝรั่งช่วยกระตุ้นการผลิตน้ำลาย ซึ่งช่วยให้ปากชุ่มชื้นได้ ควรเลือกชนิดที่ไม่มีน้ำตาลเพื่อป้องกันฟันผุ
สครับริมฝีปาก
การสครับริมฝีปาดอย่างอ่อนโยนสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ช่วยกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ทำให้ลิปบาล์มซึมเข้าสู่ผิวได้ดีขึ้น
ใช้ยาสีฟันปลอดสารเคมี
ยาสีฟันที่มีสารเคมีแรงอาจระคายเคืองริมฝีปาก ควรเลือกยาสีฟันสูตรอ่อนโยนสำหรับผู้ที่มีปัญหาริมฝีปากแห้ง
หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้ปากแห้ง
ลดการดื่มคาเฟอีน แอลกอฮอล์ และอาหารรสเผ็ดจัด เนื่องจากสามารถทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำและส่งผลให้ปากแห้งได้
รับประทานอาหารเสริม วิตามิน
วิตามิน B2, B3, B6, E และสังกะสีช่วยในการรักษาสุขภาพของริมฝีปาก การศึกษาจากสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า การรับประทานวิตามิน B คอมเพล็กซ์ช่วยลดอาการแห้งของเยื่อเมือกและผิวได้อย่างมีนัยสำคัญ
ฉีดฟิลเลอร์ปาก แก้ปัญหาปากแห้ง
การฉีดฟิลเลอร์ที่มีไฮยาลูโรนิค แอซิดเป็นส่วนประกอบสามารถเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับริมฝีปาก แต่ควรทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
พญ.สุภาพร อัศวปัทมาพร แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังและความงาม จากโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ อธิบายว่า “ฟิลเลอร์ไม่ใช่การแก้ปัญหาปากแห้งโดยตรง แต่สามารถช่วยเพิ่มปริมาตรและความชุ่มชื้นให้กับริมฝีปากได้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาวิธีที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล”
หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับแสงแดด
แสง UV สามารถทำให้ริมฝีปากแห้งและแตกได้ ควรใช้ลิปบาล์มที่มี SPF เพื่อปกป้องริมฝีปากจากแสงแดด
หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์หรือสิ่งที่อาจทำให้เกิดการระคายเคือง
หลีกเลี่ยงลิปสติกที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ สารแต่งกลิ่น หรือสารกันเสีย ซึ่งอาจทำให้เกิดการระคายเคืองได้
ใช้เครื่องฟอกอากาศที่มีระบบปรับสมดุลความชื้น
ในพื้นที่ที่มีอากาศแห้ง ควรใช้เครื่องเพิ่มความชื้นในอากาศ การศึกษาทางคลินิกจากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พบว่า การใช้เครื่องเพิ่มความชื้นในห้องนอนช่วยลดอาการผิวแห้งได้ถึง 50%
บทสรุป
ปากแห้งเป็นปัญหาที่พบได้บ่อย แต่สามารถป้องกันและรักษาได้ด้วยการดูแลตนเองอย่างเหมาะสม การดื่มน้ำให้เพียงพอ การหลีกเลี่ยงการเลียริมฝีปาก และการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงที่เหมาะสมจะช่วยให้ริมฝีปากชุ่มชื้นและสุขภาพดี อย่างไรก็ตาม หากมีอาการรุนแรงหรือเรื้อรัง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง
และสำหรับใครที่ไม่อยากปากแห้งลอก อย่าลืมหยิบลิปมันมาลองใช้กันดูน้า ที่วัตสันมีให้เลือกเพียบเลย ทั้งหน้าร้านและใน วัตสันออนไลน์ https://www.watsons.co.th/th/search?text=%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%9B%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%99&useDefaultSearch=false&brandRedirect=true
อ้างอิง
- วารสารผิวหนังและความงามแห่งประเทศไทย. (2566). “ความชุกของภาวะผิวแห้งในประชากรไทย”, ปีที่ 39, ฉบับที่ 2, หน้า 45-52. ↩
- จันทร์สว่าง, ว. (2565). “ความสำคัญของการดื่มน้ำต่อสุขภาพผิว”, วารสารเภสัชศาสตร์, ปีที่ 29, ฉบับที่ 3, หน้า 78-85. ↩
- วารสารวิทยาการชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ. (2566). “การเปลี่ยนแปลงของผิวหนังตามอายุ”, ปีที่ 10, ฉบับที่ 2, หน้า 120-128. ↩
- กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข. (2565). “ผลกระทบของความชื้นในอากาศต่อสุขภาพผิว”, รายงานประจำปี, หน้า 65-70. ↩
- วารสารโภชนาการทางการแพทย์. (2566). “ความสัมพันธ์ระหว่างการขาดวิตามินบีและสุขภาพผิว”, ปีที่ 18, ฉบับที่ 4, หน้า 267-275. ↩
- ฉกาจนโรดม, ธ. (2567). “ผลข้างเคียงทางผิวหนังของยา Isotretinoin”, วารสารอายุรศาสตร์, ปีที่ 42, ฉบับที่ 1, หน้า 32-40. ↩
- สมาคมโรคผิวหนังแห่งประเทศไทย. (2566). “การแสดงออกทางผิวหนังของโรคเอ็กซีมาในประชากรไทย”, รายงานวิจัยประจำปี, หน้า 95-104. ↩
- ฬียาพรรณ, จ. (2565). “การติดเชื้อทางช่องปากและริมฝีปาก”, วารสารทันตแพทยศาสตร์, ปีที่ 35, ฉบับที่ 2, หน้า 145-152. ↩
- วารสารโภชนาการและผิวหนัง. (2566). “ผลของการดื่มน้ำต่อความชุ่มชื้นของผิว”, ปีที่ 15, ฉบับที่ 2, หน้า 210-220. ↩
- สถิตย์วัฒน์, น. (2565). “การเลือกผลิตภัณฑ์ดูแลริมฝีปาก”, วารสารเภสัชกรรมคลินิก, ปีที่ 27, ฉบับที่ 4, หน้า 318-325. ↩
- สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล. (2566). “ผลของวิตามินบีต่อสุขภาพเยื่อเมือก”, รายงานวิจัย, หน้า 45-52. ↩
- อัศวปัทมาพร, ส. (2567). “นวัตกรรมความงามเพื่อการดูแลริมฝีปาก”, วารสารศัลยกรรมความงาม, ปีที่ 12, ฉบับที่ 1, หน้า 78-85. ↩
- คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (2566). “ผลของความชื้นในอากาศต่อสุขภาพผิว”, การศึกษาทางคลินิก, หน้า 115-122. ↩
คลิกอ่านคอนเท้นอื่นๆที่น่าสนใจ
- 15 ไอเดียอัพลุคคูล แต่งตัวไปคอนเสิร์ตแบบคนมีสไตล์
- สิวหัวช้าง สิวหัวช้างไม่มีหัวเกิดจากอะไร รักษาอย่างไร พร้อมตัวช่วยรักษาสิวหัวช้าง
- ปากแห้ง เกิดจากอะไร? แห้งแตกแบบไหนควรรีบไปหาหมอ
- สีเล็บมงคล 2568 เปลี่ยนสีเล็บให้ปังตามวันเกิด พร้อมสวยเฮงต้อนรับปี!
- ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ใช้อย่างไรให้ได้ผลและปลอดภัย