โหลดแอปฯ
ดาวน์โหลด:
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอปวัตสัน
  • google-play.png
  • app-store.png
  • app-gallery.png
ค้นหาร้านค้า บทความน่าอ่าน
Watsons Services
0
ตะกร้า
Share

ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียหรือยาปฏิชีวนะ เป็นยาที่มีความสำคัญในการรักษาโรคติดเชื้อจากแบคทีเรีย แต่การใช้ยาอย่างไม่เหมาะสมอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพและทำให้เกิดปัญหาเชื้อดื้อยาได้ การทำความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียอย่างถูกต้องจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพสูงสุดและปลอดภัยต่อสุขภาพในระยะยาว ทั้งนี้ การใช้ยาฆ่าเชื้อควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์หรือเภสัชกร เพื่อให้ได้รับยาฆ่าเชื้อที่เหมาะสมกับเชื้อก่อโรคและอาการของผู้ป่วย

ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียคืออะไร

ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียคืออะไร?

ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เป็นยาที่ใช้รักษาการติดเชื้อที่เกิดจากแบคทีเรีย สามารถแบ่งออกเป็นกลุ่มต่างๆ ตามกลไกการออกฤทธิ์ เช่น ยาที่ยับยั้งการสร้างผนังเซลล์ของแบคทีเรีย หรือยาที่รบกวนการสร้างโปรตีนของแบคทีเรีย เป็นต้น

ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียมีกี่รูปแบบ

1.ยาเม็ด

ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียชนิดเม็ดและยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียชนิดแคปซูล เป็นรูปแบบที่พบบ่อยที่สุด ต้องรับประทานตามขนาดและระยะเวลาที่แพทย์กำหนดอย่างเคร่งครัด

2.ยาทาภายนอก

ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียชนิดยาทาภายนอกจะใช้สำหรับการติดเชื้อที่ผิวหนัง แผล หรือเยื่อบุต่าง ๆ ต้องทำความสะอาดบริเวณที่จะทายาก่อนเสมอ

3.ยาฉีด

ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียชนิดยาฉีดมักใช้ในกรณีที่ต้องการผลการรักษาที่รวดเร็วหรือในผู้ป่วยที่ไม่สามารถรับประทานยาได้ ต้องฉีดโดยบุคลากรทางการแพทย์เท่านั้น

เมื่อไหร่ที่ต้องใช้ยาฆ่าเชื้อ?

การใช้ยาฆ่าเชื้อ ใช้สำหรับรักษาการติดเชื้อแบคทีเรีย ไม่สามารถรักษาการติดเชื้อจากไวรัส เช่น ไข้หวัดใหญ่ หรือโควิด-19 ได้ ควรใช้เมื่อมีการติดเชื้อแบคทีเรียที่ได้รับการวินิจฉัยโดยแพทย์หรือประเมินอาการเบื้องต้นจากเภสัชกรมาแล้วเท่านั้น

วิธีใช้ยาฆ่าเชื้อให้ได้ผลดีที่สุด

1.การใช้ยาฆ่าเชื้อตามคำสั่งแพทย์หรือเภสัชกร

  • รับประทานยาตรงเวลาที่กำหนด
    การใช้ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียให้ได้ผลดีที่สุด ต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกรอย่างเคร่งครัด โดยรับประทานยาฆ่าเชื้อให้ตรงเวลาและครบตามจำนวนที่กำหนด แม้อาการจะดีขึ้นแล้วก็ตาม เพื่อป้องกันการดื้อยาและการกลับมาของเชื้อโรค ควรรับประทานยาพร้อมอาหารหรือหลังอาหารทันทีตามคำแนะนำ และห้ามหยุดยาฆ่าเชื้อเองเด็ดขาด หากมีผลข้างเคียงให้ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรทันที
  • ใช้ยาฆ่าเชื้อให้ครบตามจำนวนวัน หรือครบคอร์สการรักษา
    โดยต้องรับประทานยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียให้ครบตามจำนวนวัน หรือครบคอร์สการรักษาแม้ว่าอาการจะดีขึ้นแล้วก็ตาม เพื่อป้องกันการดื้อยาและการกลับมาของเชื้อแบคทีเรีย หากมีอาการแพ้ยา เช่น ผื่นคัน หน้าบวม หายใจลำบาก ควรหยุดยาและรีบพบแพทย์ทันที นอกจากนี้ ควรแจ้งประวัติการแพ้ยา โรคประจำตัว และยาที่ใช้อยู่ทุกครั้ง เพื่อการรักษาที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
  • ไม่หยุดยาฆ่าเชื้อเองแม้จะรู้สึกดีขึ้น
    แม้ว่าอาการจะดีขึ้นแล้วก็ตาม เพราะการหยุดยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียก่อนกำหนดอาจทำให้เชื้อดื้อยาและกลับมาเป็นซ้ำได้

2. ข้อควรปฏิบัติระหว่างการใช้ยาฆ่าเชื้อ

  • รับประทานอาหารให้ตรงเวลา
    ในระหว่างการรับประทานยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย การรับประทานอาหารให้ตรงเวลาเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากจะช่วยให้ร่างกายดูดซึมยาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควรรับประทานอาหารในปริมาณที่เหมาะสมและเป็นเวลา ไม่ควรงดมื้ออาหาร เพราะอาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองกระเพาะอาหารได้ นอกจากนี้ การรับประทานอาหารให้ตรงเวลายังช่วยให้สามารถกำหนดเวลาการรับประทานยาได้สม่ำเสมอ ซึ่งจะส่งผลให้การรักษามีประสิทธิภาพสูงสุด
  • ดื่มน้ำ
    การดื่มน้ำระหว่างการใช้ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียเป็นสิ่งสำคัญ โดยในคนทั่วไปแนะนำให้ดื่มน้ำอย่างน้อย 8-10 แก้วต่อวัน หลีกเลี่ยงการรับประทานยากับเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนและแอลกอฮอล์
  • พักผ่อนให้เพียงพอ
    การพักผ่อนให้เพียงพอเป็นสิ่งสำคัญในระหว่างการใช้ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เนื่องจากร่างกายต้องใช้พลังงานในการต่อสู้กับเชื้อโรคและฟื้นฟูตัวเอง ควรนอนหลับอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อวัน หลีกเลี่ยงการทำงานหนักหรือออกกำลังกายที่หักโหม เพราะการพักผ่อนไม่เพียงพออาจส่งผลให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ทำให้การรักษาไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร และอาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อซ้ำได้
  • สังเกตอาการข้างเคียง
    ระหว่างการใช้ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ควรสังเกตอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น เช่น ผื่นแพ้ คัน ลมพิษ หรือหน้าบวม ซึ่งเป็นสัญญาณของการแพ้ยา หากมีอาการรุนแรง เช่น หายใจลำบาก หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ หรือวิงเวียนมาก ควรหยุดใช้ยาและรีบพบแพทย์ทันที

ข้อควรระวังในการใช้ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย


1.ห้ามใช้ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียของผู้อื่น


ห้ามใช้ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียของผู้อื่นโดยเด็ดขาด เนื่องจากการใช้ยาปฏิชีวนะต้องเลือกให้ตรงกับเชื้อที่เป็นสาเหตุของโรค และต้องใช้ในขนาดที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย การใช้ยาฆ่าเชื้อของผู้อื่นอาจไม่ตรงกับเชื้อที่เป็นสาเหตุ ทำให้การรักษาไม่ได้ผล เกิดการดื้อยา หรือเกิดอาการแพ้ยาที่รุนแรงได้ นอกจากนี้ยังอาจได้รับยาฆ่าเชื้อที่หมดอายุหรือเสื่อมสภาพ ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ

2.ไม่ควรซื้อยาฆ่าเชื้อรับประทานเอง


การซื้อยาปฏิชีวนะหรือยาฆ่าเชื้อมารับประทานเองโดยไม่ผ่านการตรวจจากแพทย์เป็นสิ่งที่อันตราย เพราะอาจได้รับยาฆ่าเชื้อที่ไม่ตรงกับเชื้อที่เป็นสาเหตุของโรค ส่งผลให้เชื้อดื้อยา การรักษาไม่ได้ผล และอาจเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรง เช่น แพ้ยา ตับหรือไตอักเสบ นอกจากนี้ การใช้ยาปฏิชีวนะพร่ำเพรื่อยังทำลายแบคทีเรียที่ดีในร่างกาย ส่งผลเสียต่อระบบภูมิคุ้มกันในระยะยาว ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้งก่อนใช้ยาปฏิชีวนะ

3.แจ้งแพทย์หากมีประวัติแพ้ยา


สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้งหากมีประวัติแพ้ยา นอกจากนี้ควรแจ้งโรคประจำตัว การตั้งครรภ์ การให้นมบุตร และยาอื่น ๆ ที่ใช้อยู่ เพื่อป้องกันการเกิดอันตรกิริยาระหว่างยาที่อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ

4.หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์


ควรหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ระหว่างการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างเด็ดขาด เนื่องจากแอลกอฮอล์จะไปรบกวนการทำงานของยาฆ่าเชื้อ ทำให้ประสิทธิภาพในการรักษาลดลง อีกทั้งยังเพิ่มความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงที่รุนแรง เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง วิงเวียนศีรษะ หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ และอาจเป็นอันตรายต่อตับได้ ควรงดดื่มแอลกอฮอล์ตลอดระยะเวลาที่รับประทานยา และควรเว้นระยะอย่างน้อย 48 ชั่วโมงหลังจากหยุดยา

5.ระวังการใช้ร่วมกับยาอื่น


ควรแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้งเกี่ยวกับยาที่ใช้อยู่ เนื่องจากยาปฏิชีวนะหรือยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียบางชนิดอาจเกิดปฏิกิริยากับยาอื่น เช่น ยาคุมกำเนิด ยาต้านการแข็งตัวของเลือด หรือยารักษาโรคประจำตัว การใช้ร่วมกันอาจทำให้ประสิทธิภาพของยาลดลงหรือเพิ่มความเสี่ยงต่อผลข้างเคียง นอกจากนี้ ยังมียาบางกลุ่มที่ควรเว้นระยะห่างในการรับประทานยาแต่ละชนิดอย่างน้อย 2 ชั่วโมง โดยเฉพาะการใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์เสริมแคลเซียมหรือยาลดกรด

อันตรายจากการใช้ยาฆ่าเชื้อไม่ถูกต้อง

การใช้ยาปฏิชีวนะแบคทีเรียอย่างไม่เหมาะสมอาจก่อให้เกิดผลเสีย:

  • เชื้อดื้อยา คือการที่เชื้อแบคทีเรียอาจไม่ตอบสนองต่อยา ทำให้รักษายากขึ้น
  • อาจเกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ เช่น คลื่นไส้ ท้องเสีย หรือผลข้างเคียงที่รุนแรงในบางกรณี
  • การแพ้ยา
  • การติดเชื้อซ้ำซ้อน เนื่องจากเชื้อดื้อยาหรือสมดุลแบคทีเรียในร่างกายถูกทำลาย
  • ค่าใช้จ่ายในการรักษาเพิ่มขึ้น

การป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรีย

เพื่อลดความจำเป็นในการใช้ยาฆ่าเชื้อควรปฏิบัติดังนี้:

  1. ล้างมือให้สะอาดเป็นประจำ
  2. รับประทานอาหารที่ปรุงสุก
  3. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  4. พักผ่อนให้เพียงพอ
  5. รักษาสุขอนามัยที่ดี

เมื่อไหร่ควรปรึกษาแพทย์?

ควรพบแพทย์ทันทีเมื่อมีอาการต่อไปนี้:

  • มีไข้สูงเกิน 38.5 องศา
  • อาการไม่ดีขึ้นหลังใช้ยา 2-3 วัน
  • มีผื่นแพ้หรืออาการแพ้
  • มีอาการข้างเคียงรุนแรง
  • อาการติดเชื้อรุนแรงขึ้น

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย

ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียไม่ควรใช้คู่กับยาอะไร?

การใช้ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ควรหลีกเลี่ยงการใช้ร่วมกับยาบางชนิดเพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการรักษา เช่น ยาลดกรดหรือยาที่มีส่วนผสมของแคลเซียม แมกนีเซียม เหล็ก หรือสังกะสี เนื่องจากอาจลดการดูดซึมของยาฆ่าเชื้อ ควรเว้นระยะห่างการรับประทานอย่างน้อย 2 ชั่วโมง นอกจากนี้ยังควรหลีกเลี่ยงการใช้ร่วมกับยาคุมกำเนิด เพราะอาจทำให้ประสิทธิภาพของยาคุมลดลง และไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์ขณะทานยาฆ่าเชื้อ เพราะอาจเกิดผลข้างเคียงรุนแรง

เด็กใช้ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ไหม?

เด็กสามารถใช้ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์หรือเภสัชกร เนื่องจากเด็กมีความไวต่อการแพ้ยาและผลข้างเคียงมากกว่าผู้ใหญ่ การใช้ยาต้องระมัดระวังเป็นพิเศษในเรื่องขนาดยาที่เหมาะสมตามอายุและน้ำหนักตัว ควรสังเกตอาการผิดปกติหลังการใช้ยา เช่น ผื่นแพ้ คลื่นไส้ หรือท้องเสีย หากพบความผิดปกติใด ๆ ควรหยุดใช้ยาฆ่าเชื้อและพาเด็กไปพบแพทย์ทันที

ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียควรกินกี่วัน?

ระยะเวลาในการรับประทานยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียขึ้นอยู่กับชนิดของการติดเชื้อและความรุนแรงของโรค โดยทั่วไปประมาณ 3-14 วัน ทั้งนี้จำเป็นต้องรับประทานยาให้ครบตามคอร์สการรักษา แม้ว่าอาการจะดีขึ้นแล้วก็ตาม เพื่อป้องกันการดื้อยาและการกลับมาของเชื้อโรค หากหยุดยาฆ่าเชื้อก่อนกำหนดอาจทำให้เชื้อแบคทีเรียที่เหลืออยู่กลายเป็นเชื้อดื้อยา ส่งผลให้การรักษาครั้งต่อไปยากขึ้นและต้องใช้ยาที่แรงขึ้น

ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย VS ยาแก้อักเสบ

ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียและยาแก้อักเสบมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย (Antibiotics) มีหน้าที่กำจัดหรือยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียโดยตรง ใช้รักษาโรคติดเชื้อที่มีสาเหตุจากแบคทีเรียเท่านั้น ในขณะที่ยาแก้อักเสบ (Anti-inflammatory drugs) มีหน้าที่ลดการอักเสบและบรรเทาอาการปวด บวม แดง ร้อน โดยไม่ได้มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย จึงไม่สามารถใช้ทดแทนกันได้

สรุป

การใช้ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียอย่างถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญต่อประสิทธิภาพการรักษาและความปลอดภัย ควรใช้ยาตามคำสั่งแพทย์หรือได้รับการคัดกรองเบื้องต้นโดยเภสัชกรเท่านั้น นอกจากนี้ การป้องกันการติดเชื้อด้วยการรักษาสุขอนามัยที่ดีจะช่วยลดความจำเป็นในการใช้ยาฆ่าเชื้อได้

หมายเหตุ: บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้ทั่วไปเท่านั้น หากมีข้อสงสัยหรืออาการผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรโดยตรง

หากต้องการปรึกษาเภสัชกรเพื่อรับคำปรึกษาเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพ แอดเลยที่นี่ Watsons Pharmacist

คลิกอ่านคอนเท้นอื่นๆที่น่าสนใจ

Previous

เริมที่ปาก อาการเริ่มต้นเป็นแบบไหน? รักษาอย่างไรให้หายไวที่สุด!

Related Topics
Share
WHAT’S HOT
  1. 10 ร้านเสื้อผ้าในไอจีราคาถูก หลักร้อย ไม่ตกเทรนด์
  2. 12 สกินแคร์จาก CICA ส่วนผสมช่วยลดสิว ผิวระคายเคือง
  3. 10 สถานที่ขอพรเรื่องความรัก ช่วยคนโสดไม่ให้นก
  4. 15 ครีมบำรุงผิวขาว และครีมทาผิวขาวยี่ห้อไหนดี 2025
  5. แต่งหน้าเป๊ะปังด้วยเมคอัพ ชิ้นที่สอง1บาท
  6. 40 ไอเดียทำเล็บสีลูกแก้ว โฮโลแกรม เล่นแสงส่องประกาย
  7. 15 ไอเดียทรงผมเพื่อนเจ้าสาวหน้ากลมแก้มอิ่ม แบบปล่อย
  8. มอยเจอร์ไรเซอร์คืออะไร เลือกแบบไหนให้เหมาะกับภาพผิว
  9. 20 ไอเดียทรงผมเพื่อนเจ้าสาวผมสั้น ดูดี อ่อนกว่าวัย
  10. เริมที่ปาก อาการเริ่มต้นเป็นแบบไหน? รักษาอย่างไรให้หายไวที่สุด!
  11. ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ใช้อย่างไรให้ได้ผลและปลอดภัย
*/?>